วันนี้ (17 ม.ค.2560) นับถอยหลังอีกเพียง 4 วัน โดนัลด์ ทรัมพ์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา จะขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.) ทรัมพ์ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ ของอังกฤษและหนังสือพิมพ์บิลด์ของเยอรมนี เกี่ยวกับจุดยืนต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลก ประเด็นแรกคือการลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ หรือเบรกซิต เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทรัมพ์มองว่า เบร็กซิทเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด เนื่องจากช่วยรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศเอาไว้ นอกจากนี้ ทรัมพ์ยังคาดการณ์ว่า ประเทศสมาชิกอียูอีกหลายประเทศจะเดินตามรอยอังกฤษในอนาคต ส่วนสหรัฐอเมริกาเองนั้น ทรัมพ์ บอกว่า การสร้างพรมแดนที่แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในนโยบายอันดับต้นๆ ที่ทรัมพ์จะดำเนินการในวันแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่ง
ประเด็นต่อมาคือแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีและนโยบายเปิดรับผู้อพยพมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของแมร์เคิลเพราะผู้อพยพเหล่านี้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทรัมพ์ บอกว่า แมร์เคิลเป็นผู้นำประเทศที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดในบรรดาประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกันเยอรมนีก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอียู เขาเชื่อว่าถ้าประเทศสมาชิกอียูไม่ถูกบีบบังคับให้รับผู้อพยพจำนวนมากที่มาพร้อมกับปัญหาต่างๆ ที่ตามมาเป็นเงาตามตัวแล้ว การลงประชามติออกจากอียูจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทรัมพ์พูดถึง คือเรื่ององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทรัมพ์เคยประกาศว่าจะถอนตัวออกจากนาโต้ ทรัมพ์ยังมองว่านาโต้เป็นความร่วมมือที่ล้าสมัย มีปัญหาเกิดขึ้นมากและไม่เข้ากับบริบทของสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ขณะที่ประเทศสมาชิกอีกหลายประเทศก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างที่ควรจะเป็น
สุดท้าย คือการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของทรัมพ์ไปแล้วกับชื่อบัญชี "เรียลโดนัลด์ทรัมพ์" ปฏิเสธไม่ได้ว่าทวิตเตอร์ถือเป็นช่องทางในการปะทะคารมอย่างเผ็ดร้อนกับสื่อและบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเขา ทรัมพ์บอกว่าจะใช้ทวิตเตอร์ต่อไปหลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการแต่อาจใช้น้อยลงบ้าง
ทั้งหมดนี้คือประเด็นสำคัญที่ทรัมพ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศครั้งล่าสุด แต่อย่างที่เรารู้กันว่าสำหรับทรัมพ์แล้ว อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ เราจึงต้องจับตามองสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากทรัมพ์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ในวันที่ 20 มกราคมนี้ว่าการเมืองสหรัฐอเมริกาจะดำเนินไปในทิศทางใดต่อไป