ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(4 ธ.ค.2559) เจ้าหน้าที่สำนักงานประทานที่ 15 ใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่สูบน้ำที่ท่วมขังในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช ลงคลองท่าซัก เพื่อระบายลงสู่ทะเลอีกต่อหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำรอบตัวเมืองนครศรีธรรมราชกว่า 20 จุด เพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ส่วนผู้ประ กอบการร้านก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายสินค้าไว้ในที่สูง ในขณะที่บางร้านต้องปิดบริการชั่วคราว
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าการผลักดันน้ำจากเขตเมืองอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำบ้าง ซึ่งเห็นว่าเป็นความเดือดร้อนที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกัน ด้านนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมรวม 18 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 2 แสนคน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 คน ซึ่งหากฝนไม่ตกลงมาเพิ่มเติมสถานการณ์น้ำท่วมจะเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2 วัน แตอย่างไรก็ตาม พบว่าหลายจุดมีปัญหาขยะปิดกั้นทางน้ำทำให้การระบายน้ำยาก
ส่วนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มวลน้ำจากพื้นที่เทือกเขาก็ได้เริ่มไหลเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มก่อนลงทะเล ทำให้บ้านเรือนประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ติดลำคลองถูกน้ำท่วมแล้ว 11 อำเภอ 48 ตำบล โดยเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ทั้งทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงอาสาสมัครต้องออกช่วยเหลือเคลื่อนย้ายประชาชน ซึ่งถูกน้ำท่วมสูงไปอยู่ในที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ ทางศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกแจ้งเตือนว่ายังคงมีฝนร้อยละ 80 ของพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยบางพื้นที่จะมีฝนตกหนักมาก จึงแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังให้ความช่วยเหลือประชาชนจากภาวะน้ำท่วม และน้ำป่าไหลหลากต่อเนื่องไปจนถึงวันพรุ่งนี้ (5ธ.ค.2559)
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ ที่จ.ตรัง ตอนนี้มีปัญหาน้ำท่วมขัง บ้านเรือน และพื้นที่เกษตรใน 7 อำเภอ ส่วนที่จ.พัทลุง ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนัก ทำให้มวลน้ำที่สะสมจากคลองนาท่อม เข้าท่วมเขตเทศบาลเมืองพัทลุง โดยเฉพาะถนนสายราเมศวร์ถนนพัฒนา ถนนไชยบุรี และถนนทัณฑ์บำรุง ถูกน้ำท่วมสูง 50-60 เซนติเมตร ขณะนี้จังหวัดพัทลุง มีพื้นที่น้ำท่วมใน 11 อำเภอ
ส่วนที่จังหวัดกระบี่ ชาวต.สินปุน อ.เขาพนม ต้องเดินลุยน้ำออกจากหมู่บ้าน หลังฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง 3 วัน ทำให้เกิดน้ำท่วม ถนนสายสินปุน-ทุ่งใหญ่ ระดับน้ำสูงประมาณ 1 เมตร ยาวกว่า 100 เมตร
เช่นเดียวกับที่จ.ปัตตานี คลื่นสูง 2-4 เมตร ที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรงในอ.ยะหริ่ง เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธาณะภัย เตือนชาวบ้านที่อาศัยริมชายฝั่ง ให้เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงในระยะนี้
ขณะที่จ.สงขลาคลื่นลมแรงในอ่าวไทย ส่งผลกระทบบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง และวัด ตามแนวชายฝั่ง รวมถึงธรรมสถานหาดทรายแก้ว ในต.หัวเขา อ.สิงหนคร ทำให้พระสงฆ์ที่มีเพียงรูปเดียว ต้องย้ายไปอยู่วัดอื่น