สำนักงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเอกสารจำนวน 129 หน้า เกี่ยวกับกรณีที่นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อภัยโทษให้กับนายมาร์ก ริช สามีของนางเดนิส ไอเซนเบิร์ก ริช ผู้บริจาครายใหญ่ของพรรคเดโมแครต ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนหน้านั้นนายริชถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาตั้งข้อกล่าวหาเลี่ยงเสียภาษี ทำให้ต้องลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเสียชีวิตในปี 2556 เจ้าหน้าที่เอฟบีไอตั้งข้อสังเกตว่าการบริจาคเงินของสามีภรรยาตระกูลริช อาจมีผลต่อการตัดสินใจอภัยโทษของนายคลินตัน ก่อนที่จะปิดคดีลงในปี 2548 โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาใดๆ
ขณะที่ทีมรณรงค์หาเสียงของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้เอฟบีไอเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมพ์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันกับรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่เบื้องหลังการจารกรรมข้อมูลจากเซอร์ฟเวอร์และอีเมลของบุคคล รวมถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้ง หลังจากที่นายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ประกาศว่า จะรื้อฟื้นการสอบสวนกรณีการใช้อีเมลส่วนตัวในการติดต่องานราชการของนางคลินตัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ด้านนางคลินตันใช้โอกาสในการกล่าวปราศรัยหาเสียงที่รัฐฟลอริดาด้วยการเชิญ น.ส.อลิเซีย มาชาโด อดีตมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งเคยถูกนายทรัมพ์ล้อเลียนเรื่องรูปร่าง ขึ้นเวทีหาเสียงท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนที่เดินทางมาร่วมฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก ขณะที่นายทรัมพ์ยังคงหยิบประเด็นการใช้อีเมลส่วนตัวติดต่องานราชการของนางคลินตันขึ้นมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกล่าวหานางคลินตันว่าติดสินบนนางลอเรตตา ลินช์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาซึ่งแสดงให้เห็นถึงระบบที่ฉ้อฉล
ด้านอัยการบราซิลได้เปิดการสอบสวนกรณีการนำกองทุนบำนาญของรัฐ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท ไปลงทุนในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในนครริโอ เดอ จาเนโร ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับนายทรัมพ์
ขณะที่ผลการสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดของสำนักข่าวเอบีซีร่วมกับวอชิงตันโพสต์ พบว่านายทรัมพ์พลิกกลับมามีคะแนนนำนางคลินตัน ร้อยละ 46 ต่อ 45 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ร้อยละ 3 ถือเป็นครั้งแรกที่นายทรัมพ์มีคะแนนนิยมนำนางคลินตัน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา