วันนี้ (16 ส.ค.) นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ระบุว่า เหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าไทยกำลังต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ทั้งพื้นที่ก่อเหตุที่เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ความมั่นคงเดิมที่เคยมีการก่อเหตุ และยังเป็นวิธีการ และวัตถุพยานแบบใหม่ ซึ่งต้องจับตาและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
ส่วนประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การก่อเหตุครั้งนี้อาจเชื่อมโยงกับการเมืองภายใน ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นทิศทางทางการเมืองที่ต้องการส่งสัญญาณ โดยเลือกเป้าหมายที่ส่งผลกระทบ เพื่อให้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศเห็นว่า รัฐบาลไม่สามารถเดินไปตามแผนที่วางไว้
สอดคล้องกับความเห็นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ยังไม่สามารถชี้ถึงมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ แต่ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่างชาติ หรือเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับย้ำว่า ยังไม่ตัดประเด็นใดๆ รวมถึงประเด็นความเชื่อมโยงกับการเมือง
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยย้ำถึงการเร่งติดตาม และตรวจสอบหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขอความร่วมมือทุกฝ่าย อย่ากดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้กระทบกับการคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมขอความร่วมมือให้ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าว รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพราะอาจกระทบต่อการคลี่คลายคดี และอาจสร้างความเกลียดชังกันเองได้
ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยืนยันว่า เริ่มมีข้อมูลผู้ก่อเหตุในหลายจุด แต่ด้วยเป็นคดีสำคัญจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และรอการขยายผลให้ถึงตัวผู้สั่งการ พร้อมย้ำว่า ยังให้น้ำหนักไปที่ประเด็นสืบเนื่องจากผลการออกเสียงประชามติ โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลจากการออกหมายจับ นายศักรินทร์ คฤหัสถ์ ผู้ต้องหาคดีวางเพลิง และนายมูหะหมัด ลอสะดี ปาเนาะ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง
นอกจากนี้ยังได้ประสานกับตำรวจมาเลเซีย เกี่ยวกับข้อมูลเรื่องกลุ่มบุคคล และพยานหลักฐาน เช่น ซิมการ์ดโทรศัพท์ เพื่อให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลแล้ว
ส่วนการลงพื้นที่สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าและคลี่คลายคดี ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมาก เหตุระเบิด กับจุดที่พบพาวเวอร์แบงก์ที่ตลาดฉัตรไชยนั้น เชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน