วันนี้ (9 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสรายงานว่า ที่ดินจำนวน 1,039 ไร่ ในพื้นที่ต.ห้วยยายจิ๋ว อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็น 1 ใน 3 แปลงที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เตรียมยึดคืน ในสัปดาห์หน้า ตามที่ คสช.บังคับใช้กฎหมายตามมาตรา 44 กรณีมีผู้ถือครองที่ดินในเขต ส.ป.ก.เกิน 500 ไร่ขึ้นไป
นายราชวงษ์ สืบสวน ผู้ช่วยกำนัน ต.ห้วยยายจิ๋ว จ.ชัยภูมิ ให้ข้อมูลกับไทยพีบีเอสว่า ที่ดินในต.ห้วยยายจิ๋ว อยู่ในเขต ส.ป.ก.เกือบทั้งหมด ยอมรับว่าในอดีตแต่ละครอบครัวถือครองที่ดินหลายร้อยไร่ ก่อนประกาศเป็นเขต ส.ป.ก. แต่หลังจากประกาศ ก็มีหนังสือสำคัญที่ ส.ป.ก.ออกให้ แต่ยังไม่ได้นำไปขึ้นทะเบียนเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ และล่าสุดยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาปิดประกาศ เพื่อให้ผู้ถือครองเข้าไปแสดงสิทธิ์ และหาก ส.ป.ก.จะตรวจสอบชื่อผู้ถือครอง ชาวบ้านก็มีความพร้อม เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้เป็นที่ดินทำกินด้วยการปลูกพืชไร่
ส่วนที่จ.เชียงใหม่ การเดินหน้าตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. ทำให้ชาวบ้านกังวลว่า จะใช้มาตรา 44 ยึดคืนที่ดินที่มีข้อพิพาทกับภาครัฐ ขณะที่เกษตรกรจ.กำแพงเพชร เห็นด้วยกับการยืดคืนที่ ส.ป.ก.เพื่อนำมามอบแก่ผู้ไร้ที่ทำกิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นที่ดินเพียงผืนเดียวของนายคง ชูศิลป์ ชาวบ้าน ต.พรานกระต่าย อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร แต่เพราะเป็นที่ดิน ภ.บ.ท.5 หรือ ที่ดินที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ ทำให้ไม่มั่นใจว่า จะสามารถใช้ที่ดินผืนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน หากภาครัฐจะยึดคืน
ขณะที่การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. กลุ่มชาวบ้านแม่เหียะใน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ กังวลการใช้คำสั่ง คสช. ก่อนพิสูจน์สิทธิ์ เนื่องจากเป็นที่ดิน มีข้อพิพาทกับอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย ซึ่งชาวบ้านอ้างว่า อาศัยอยู่ก่อน มีประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ และยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่
นายวีระชัย เชิดชินโชค แกนนำชาวบ้านกล่าวว่า ไม่ต้องไปฟ้องศาลปกครอง เพราะคำสั่งนี้ไม่อยู่ในกฎหมายว่าด้านการบังคับของการปกครอง ในภาคเหนือ มีจังหวัดที่จะถูกตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก.รวม 6 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และ อุทัยธานี ส่วนที่อุตรดิตถ์พบว่า ที่ดิน ส.ป.ก. ถูกขายให้แก่นายทุน เพื่อปลูกยางพารา ทำไร่ และ สร้างลานมัน แต่ผู้ซื้อ-ขาย จะทำหนังสือสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐาน