ทั้งนี้เยอรมนีสถิติเป็นรองอิตาลี ไม่เคยชนะในทัวร์นาเมนต์สำคัญได้เลย เกมนี้เยอรมนี ต้องเช็กความฟิตของ โยนาส เฮ็คเตอร์ ส่วนอิตาลีชนะเยอรมนีในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 3 ครั้ง ผลงานที่เจอกันอิตาลี มีสถิติดีกว่าในฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร โดยชนะ 4 เสมอ 4 ไม่เคยแพ้เยอรมนี
รอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อคืนนี้ เยอรมนีลงเตะกับอิตาลีที่สนามสต๊าด เดอ บอร์โดซ์ เมืองบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส จบครึ่งแรกทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ครึ่งหลัง เยอรมนีขึ้นนำ 1-0 จากการทำประตูของเมซุต โอซิล ในนาทีที่ 65 ซึ่งเป็นการทำประตูแรกของเขาในศึกฟุตบอลยูโรครั้งนี้ และเป็นประตูที่ 20 ในทีมชาติ
การขึ้นนำครั้งนี้ทำให้เยอรมนีมีความหวังจะคว้าชัยใน 90 นาที แต่ความหวังนั้นก็พังลงเมื่ออิตาลีได้จุดโทษในนาทีที่ 77 เมื่อเยโรม บัวเต็ง ขึ้นโหม่งในกรอบเขตโทษ แต่เหยียดแขนไปโดนบอล เลโอนาโด โบนุชชี รับหน้าที่ยิงจุโทษและได้สำเร็จ ช่วยให้อิตาลีตามมาตีเสมอเป็น 1-1 เป็นประตูแรกที่เยอรมนีเสียในศึกยูโรครั้งนี้ ครบ 90 นาที ทั้งสองทีมยังเสมอกัน 1-1 จึงต่อเวลา 30 นาที แต่ไม่มีการทำประตูเพิ่ม ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งต้องยิงกันถึงฝั่งละ 9 คน ผลสุดท้ายเยอรมนียิงได้แม่นกว่า ชนะไป 6-5 เขี่ยอิตาลีตกรอบ ส่วนเยอรมนีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับผู้ชนะระหว่างฝรั่งเศสกับไอซ์แลนด์ที่จะลงเตะกันเวลา 02.00 น.คืนนี้
หลังการแข่งขัน โยอาคิม เลิฟ โค้ชทีมชาติเยอรมนี ยอมรับว่าการแข่งขันนัดนี้สุดจะดราม่าที่ต้องเตะกันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และทั้งสองทีมต่างก็งัดเทคนิคกลเม็ดมาสู้กันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะช่วงดวลจุดโทษที่ต้องลุ้นกันมากที่สุด
"ทีมเราโชคดี (ที่ยิงจุดโทษชนะ) ลูกทีมของผมไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิเลย เราเล่นได้ดีกว่าอิตาลีในช่วง 120 นาทีของการแข่งขัน หลังจากนี้เราจะพักฟื้นร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันรอบรองชนะเลิศในวันที่ 7 ก.ค.นี้" เลิฟกล่าว
ทางด้านอันโตนิโอ คอนเต โค้ชทีมชาติอิตาลีกล่าวขอบคุณนักเตะทุกคนที่สู้อย่างเต็มที่และตั้งใจฝึกซ้อมมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับขอโทษนักเตะที่ไม่สามารถพาทีมไปไกลกว่านี้ได้
สำหรับรอบรองชนะเลิศจะเริ่มเตะในวันที่ 6 ก.ค. โปรตุเกส พบ เวลส์ ส่วนเยอรมนีจะเตะในวันที่ 7 ก.ค.
