วันนี้ (18 พ.ค.2559) นายองอาจแถลงข่าวที่วัดพระธรรมกายในนามของคณะศิษยานุศิษย์พระธัมมชโย ต่อกรณีที่เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) ศาลอาญาอนุมัติหมายจับพระธัมมชโยในคดีความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการมีชื่อเป็นผู้รับเช็คบริจาคจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด โดยนายองอาจกล่าวว่ารู้สึก "เสียใจ" ที่มีการออกหมายจับพระธรรมชโยและตั้งคำถามถึงการทำงานของดีเอสไอ ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เชื่อหลักฐานทางการแพทย์เรื่องการอาพาธของพระธัมมชโยและเหตุใดจึงไม่เดินทางมาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกาย และใช้วิธีการขอศาลอนุมัติหมายจับแทน
นายองอาจกล่าวว่าการตั้งข้อหากับพระธัมมชโยนั้นไม่ชอบธรรมและผิดหลักกฎหมาย การออกหมายเรียกและการขอหมายจับเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพระธัมมชโยขอเลื่อนการพบพนักงานสอบสวนด้วยเหตุอาพาธ โดยมีการขอใบรับรองแพทย์และเวชระเบียนการรักษาของโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐ และมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากแพทย์ที่ออกเอกสารให้เป็นระดับอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาล นำไปแสดง แต่กลับไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการนำแพทย์จากหน่วยงานกลางไปตรวจอาการว่าอาพาธจริงหรือไม่ แต่กลับไปขอศาลออกหมายจับเลย
นอกจากนี้ นายองอาจยังเปิดเผยเอกสารแสดงรายละเอียดการรับเช็คเงินบริจาคจากนายศุภชัย โดยยืนยันว่าเป็นการบริจาคโดยบริสุทธิ์และเป็นไปอย่างเปิดเผย ดังนั้นการแจ้งข้อหารับของโจรกับพระธัมมชโยจึงเป็นการตั้งข้อหาที่ไม่เป็นธรรม และเงินที่ได้รับมาจากนายศุภชัย เป็นการนำไปสร้างสาธารณประโยชน์ และพระธัมมชโยไม่ทราบที่มาของเงินว่าได้มาโดยมิชอบ
"การตั้งข้อหารับของโจรกับพระธัมมชโยนั้นไม่เป็นธรรม เพราะรับเงินบริจาคเป็นเรื่องปกติและรับโดยเปิดเผย และคงเป็นเรื่องเสียมารยาทถ้าจะถามว่าเงินบริจาคมาจากไหน ขอยืนยันว่าหลวงพ่อ (ธัมมชโย) ไม่เคยเห็นเช็ค ไม่เคยเบิกเงินสดออกจากบัญชีแม้แต่บาทเดียว" นายองอาจกล่าวและให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พระธัมมชโยได้รับเช็คจำนวน 10 ฉบับ เป็นเงิน 387 ล้านบาท จากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งพบว่ามีเช็ค 7 ฉบับ เข้าบัญชีพระธัมมชโย จากนั้นได้มีการโอนเข้าบัญชีมูลนิธิมหาอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ส่วนเช็คอีก 3 ฉบับ โอนเข้ามูลนิธิธรรมกาย เพื่อสร้างอาคาร 100 ปี มหาอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ที่งบประมาณการก่อสร้างเป็นเงิน 1,200 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้รับบริจาคมาด้วย
นายองอาจยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาทางวัดยินดีให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางมาแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยที่วัด โดยยืนยันว่าจะไม่มีการนำมวลชนมากดดันหรือใช้ความรุนแรงอย่างแน่นอน
นายองอาจกล่าวว่า จากข้อสังเกตเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอนี้ คณะศิษยานุศิษย์จึงตัดสินใจที่จะแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทั้งหมดในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจะยกระดับการขอความเป็นธรรมให้กับพระธัมมชโย พร้อมต่อสู้คดีให้ถึงที่สุดด้วย
ในส่วนของอาการอาพาธของพระธัมมชโยนั้น นายองอาจยืนยันว่าพระธัมมชโยอาพาธจริงและอาพาธมานานนับ 10 ปีแล้ว แต่ยังคงออกมาปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนสมาธิหากอาการเจ็บป่วยทรงตัว
"หลวงพ่ออาพาธมาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็นช่วงที่มีการออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา" นายองอาจกล่าว "หลวงพ่อมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เป็นภูมิแพ้ อากาศหนาวมากก็ไม่ได้ ร้อนมากก็ไม่ได้ ท่านอยากรักษาที่วัด ลูกศิษย์จึงจัดหาอุปกรณ์รักษาให้"
นายองอาจยืนยันด้วยว่า พระธัมมชโยไม่คิดหลบหนีไปต่างประเทศและขณะนี้ยังคงอยู่ที่วัดพระธรรมกาย
"เรื่องการหลบหนี ไม่ต้องคิดเลย โดยเฉพาะการไปต่างประเทศ เรามีวัดอยู่ในต่างประเทศจริง แต่ท่านไม่มีพาสปอร์ต เพราะท่านอาพาธ ขนาดดีเอสไอที่ถนนแจ้งวัฒนะยังไปไม่ได้เลย แล้วจะไปต่างประเทศไทยได้อย่างไร ท่านพูดเสมอว่าท่านจะอยู่ที่นี่ทั้งชีวิต" นายองอาจกล่าว