วันนี้ (24 มี.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเฟรเดอริก วาน เลอว์ อัยการเบลเยียม แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเหตุโจมตีกรุงบรัสเซลส์ ว่า ขณะนี้ทางการกำลังเร่งไล่ล่าชายสวมหมวก ผู้ต้องสงสัย รายที่ 3 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุระเบิดสนามบินซาเวนเทม โดยชายคนดังกล่าวได้ทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุอุปกรณ์จุดระเบิดไว้ ก่อนวิ่งหลบหนีออกจากสนามบินไป ก่อนเกิดเหตุระเบิดขึ้น
ภาพของชายสวมหมวกคนดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุชื่อได้ แต่สื่อท้องถิ่นคาดว่า น่าจะเป็นนายนาจิม ลาคราอุย ถูกบันทึกได้จากกล้องวงจรปิดในสนามบินซาเวนเทม พร้อมผู้ต้องสงสัยอีก 2 คน โดยอัยการยืนยันแล้วว่า คนที่อยู่ตรงกลางในภาพ คือ นายอิบราฮิม เอล บาคราอุย สัญชาติเบลเยียม ซึ่งเป็นหนึ่งในสองพี่น้องมือระเบิดฆ่าตัวตายที่ก่อเหตุโจมตีกรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้ และเคยมีประวัติก่อเหตุยิงตำรวจและติดคุกในปีพ.ศ.2553 ส่วนผู้ต้องสงสัยเสื้อดำที่ยืนอยู่ทางซ้ายของภาพจากกล้องวงจรปิดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุชื่อได้เช่นเดียวกัน
นายเฟรเดอริก ระบุว่า นายคาลิด เอล-บาคราอุย ซึ่งเป็นน้องชายของนายอิบราฮิม เอล-บาคราอุย เป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟใต้ดินมัลบีค และมีประวัติเคยถูกจำคุกด้วยข้อหาโจรกรรมรถยนต์ เมื่อปีพ.ศ. 2554 โดยเจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวทั้งคู่ได้จากลายนิ้วมือในที่เกิดเหตุ ล่าสุดตำรวจเบลเยียมยังคงระดมกำลังตามล่าผู้ต้องสงสัยอย่างไม่ลดละ ท่ามกลางการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด
ด้านประธานาธิบดีเรเจพ ไทยิบ เออร์ดวน ผู้นำตุรกี เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้ต้องสงสัยมือระเบิดบรัสเซลส์ถูกเนรเทศจากตุรกีไปให้กับเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2015 จากนั้นเนเธอร์แลนด์ได้ส่งตัวต่อไปให้กับเบลเยียม แต่ทางการเบลเยียมเพิกเฉยต่อคำเตือนของตุรกีที่ว่า ผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวเป็นกลุ่มติดอาวุธ และปล่อยตัวไปหลังไม่พบว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่ทำเนียบประธานาธิบดีตุรกี ระบุในเวลาต่อมาว่า ผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวคือ นายอิบราฮิม เอล บาคราอุย มือระเบิดฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟใต้ดินมัลบีค
สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้การดูแลของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ยังคงระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่ระดับ 3 ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงในกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2558 ซึ่งเป็นการยกระดับความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล โดยได้เพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย เฝ้าติดตามด้านการข่าว และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสุ่มตรวจประเภทต่างๆ และเฝ้าระวังด้วยกล้องวงจรปิด ส่วนแผนระยะยาวอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า เข้ามาติดตั้งกรองผู้โดยสารเพิ่มด้วย
ขณะที่ตำรวจท่องเที่ยว ออกมาตรการ 9 ข้อ ทั้งการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสถานที่สำคัญ การระดมกำลังภาคีเครือข่าย อาสาสมัคร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดเตรียมกำลังตำรวจ อาสาสมัคร ให้พร้อมดูแลนักท่องเที่ยว จัดกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวและปะปนกับนักท่องเที่ยวเพื่อระวังเหตุ เตรียมพร้อมปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน จัดการภาวะวิกฤติแบบครอบคลุมทุกมิติ เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่และล่ามแปลของศูนย์ 1155 พร้อมบริการ 24 ชั่วโมง ประชาสัมพันธ์ช่องทางการติดต่อสื่อสารตำรวจท่องเที่ยว ทั้งสายด่วน 1155 Line, Facebook ประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่สำคัญผ่านสื่อต่างๆ ของตำรวจท่องเที่ยว และ สนามบินสุวรรณภูมิได้เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยเป็นระดับ 3