วันนี้ (4 มี.ค.2568) ตามเวลาประเทศไทย สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอย่างไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้รัฐบาลยูเครนแสดง "ความมุ่งมั่นอย่างจริงใจต่อการเจรจาสันติภาพ"
การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่าง 2 ผู้นำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดในทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ก.พ.) ซึ่งจบลงด้วยการที่เซเลนสกีถูกขอให้ออกจากทำเนียบขาวและมีการยกเลิกงานแถลงข่าวที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
ปะทะเดือดทำเนียบขาว เจรจากลายเป็นความขัดแย้ง
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ การประชุมระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีในทำเนียบขาวเริ่มต้นขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามยูเครน-รัสเซีย รวมถึงข้อตกลงด้านทรัพยากรแร่ธาตุ ที่สหรัฐฯ ต้องการลงนามกับยูเครน อย่างไรก็ตาม การประชุมกลับกลายเป็นการเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทรัมป์กล่าวเตือนเซเลนสกีว่า "คุณกำลังเล่นพนันกับสงครามโลกครั้งที่ 3" และกล่าวย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่มีแผนที่ชัดเจนในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย
ในระหว่างการประชุม รองปธน.เจ.ดี.แวนซ์ ได้กล่าวหาว่าเซเลนสกี "ไม่ให้เกียรติ" ทรัมป์ และแสดงความไม่พอใจที่ยูเครนยังคงเรียกร้องความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ แทนที่จะหาหนทางยุติสงคราม เซเลนสกีตอบโต้กลับโดยยืนยันว่ารัสเซียไม่เคยรักษาสัญญาหรือข้อตกลงใด ๆ มาก่อน และยูเครนต้องการ "หลักประกันความมั่นคงที่แท้จริง" ไม่ใช่แค่ "ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" อย่างที่ทีมงานทรัมป์เสนอ
สุดท้าย ทรัมป์กล่าวว่า "คุณจะต้องทำข้อตกลง หรืออเมริกาจะถอนตัว" หลังจากนั้น เซเลนสกีถูกขอให้ออกจากทำเนียบขาว และงานเลี้ยงอาหารกลางวันรวมถึงการแถลงข่าวที่วางแผนไว้ก็ถูกยกเลิกทันที
สั่งระงับ ทุกความช่วยเหลือ-อาวุธ-ยุทโธปกรณ์
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ว่าความช่วยเหลือทางทหารทั้งหมดที่อยู่ระหว่างการขนส่งไปยังยูเครนจะถูกระงับโดยทันที แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยกับ Bloomberg ว่า อาวุธและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่ยังไม่ถึงยูเครน รวมถึงอาวุธที่กำลังขนส่งและที่เก็บอยู่ในคลังอาวุธในโปแลนด์ จะถูก "หยุดชั่วคราว" จนกว่ารัฐบาลยูเครนจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าพร้อมจะเดินหน้าเจรจาสันติภาพ
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเตือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อกองทัพยูเครนที่กำลังเผชิญกับการโจมตีอย่างหนักจากรัสเซีย โดยเฉพาะในแนวรบตะวันออกและใต้ การระงับความช่วยเหลืออาจทำให้ยูเครนเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ และอาจบังคับให้รัฐบาลเซเลนสกีต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ อย่างเร่งด่วน
เดโมแครตเดือด หลังทรัมป์ทอดทิ้งยูเครน
วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนออกมาตำหนิการตัดสินใจของทรัมป์ โดยเฉพาะ ส.ว.แทมมี ดักเวิร์ธ สมาชิกคณะกรรมาธิการกองทัพของวุฒิสภา ที่โพสต์บน X ว่าการระงับความช่วยเหลือครั้งนี้เป็น "การละทิ้งยูเครนอย่างน่าอับอาย" และ "จะทำให้ศัตรูของอเมริกาแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของเรากับพันธมิตรทั่วโลก"
ปีเตอร์ เวลช์ วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนต์ แสดงความคิดเห็นว่า "ปูตินคืออาชญากรสงคราม เซเลนสกีคือวีรบุรุษ ทรัมป์อ่อนแอ" ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของฝ่ายเดโมแครตที่มองว่าทรัมป์กำลังให้รัสเซียได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
นานาชาติเร่งหาทางออก
นายกฯ อังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่าสถานการณ์ในยูเครนเป็น "บททดสอบของยุคสมัยเรา" และยืนยันว่ารัฐบาลอังกฤษจะเดินหน้าผลักดันแผนสันติภาพที่เป็นรูปธรรม โดยอังกฤษได้เริ่มเจรจากับฝรั่งเศสและเยอรมนีเพื่อกำหนดแนวทางที่อาจช่วยให้ยูเครนยังได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก
ขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมนี ร่วมมือกันจัดทำข้อเสนอหยุดยิงที่สามารถยอมรับได้ทั้งสำหรับยูเครนและรัสเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้สหรัฐฯ กลับมาให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์และเซเลนสกียังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะกลับมาสนับสนุนยูเครนแบบเต็มรูปแบบยังคงดูริบหรี่
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศมองว่า ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะผลักดันให้ยูเครนลงนามข้อตกลงสันติภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถประกาศความสำเร็จในเวทีระหว่างประเทศ ทรัมป์มีกำหนดจะแถลงต่อสภาคองเกรสในวันอังคาร ซึ่งคาดว่าเขาจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ต่อยูเครนและรัสเซีย
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การตัดสินใจครั้งนี้อาจเปลี่ยนแนวทางของสงครามยูเครนอย่างมีนัยสำคัญ
อ่านข่าว :
"ทรัมป์" จวก "เซเลนสกี" ชี้สงครามยังไม่จบง่าย ๆ