วันนี้ (20 ก.พ.2568) CNN รายงาน กลุ่มฮามาสได้ส่งคืนร่างของตัวประกันชาวอิสราเอล 4 คนที่เสียชีวิต ซึ่งรวมถึง Shiri Bibas วัย 32 ปี และลูกชายทั้ง 2 ของเธอ Ariel วัย 4 ขวบ และ Kfir วัยเพียง 9 เดือน ซึ่งเป็นตัวประกันที่อายุน้อยที่สุดในเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2566
การส่งคืนศพในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฮามาสดำเนินการ ส่งตัวประกันที่เสียชีวิตกลับสู่อิสราเอล หลังจากที่พวกเขาถูกกักขังในฉนวนกาซามานานกว่า 16 เดือน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าและความสูญเสียที่ใหญ่หลวงสำหรับประชาชนชาวอิสราเอลและครอบครัวของตัวประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัว Bibas ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากการรอคอยและความไม่แน่นอนมาเป็นเวลานาน
ก่อนที่ศพของทั้ง 4 คนจะถูกส่งคืน กลุ่มฮามาสได้จัดพิธีเชิงสัญลักษณ์ขึ้นในเมืองคานยูนิส โดยมีการวางโลงศพสีดำ 4 โลงบนเวที ซึ่งด้านหลังของเวทีมีป้ายโฆษณาชวนเชื่อที่มีข้อความในภาษาอาหรับ ฮีบรู และ อังกฤษ หลังจากนั้น ศพทั้งหมดถูกส่งมอบให้กับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทหารของอิสราเอลภายในกาซา
เพื่อดำเนินการทางนิติเวชที่สถาบันชันสูตรศพอาบูคาบีร์ในเทลอาวีฟ ด้าน ปธน.อิสราเอล ไอแซก เฮอร์ซอก ได้ออกมากล่าวว่า "หัวใจของเราทุกคนแตกสลาย" พร้อมกับขออภัยแทนครอบครัวของตัวประกันทุกครอบครัว ที่รัฐบาลไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการแสดงความเสียใจจากผู้นำอิสราเอลหลายฝ่ายต่อความสูญเสียครั้งสำคัญนี้
Bibas-Lifshitz โศกนาฏกรรม 7 ต.ค.
ครอบครัว Bibas กลายเป็นสัญลักษณ์ของโศกนาฏกรรมจากเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2566 โดยเฉพาะภาพของเด็กชาย Kfir วัย 9 เดือน ที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับพี่ชายและแม่ของเขา กลายเป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลก ภาพของเขาที่ถือของเล่นช้างสีชมพูและยิ้มอย่างไร้เดียงสาถูกเผยแพร่ในการรณรงค์เรียกร้องให้ปล่อยตัวประกันทั่วโลก
ขณะที่ Ariel ผู้เป็นพี่ชาย ก็ถูกจดจำจากภาพถ่ายขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดผมพร้อมผ้าคลุม ภาพเหล่านี้ถูกฉายบนจอขนาดใหญ่ที่ไทม์สแควร์ในนิวยอร์ก ถูกพิมพ์ลงบนเสื้อของผู้ประท้วงในลอนดอน เบอร์ลิน และถูกนำขึ้นเวทีในงานประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส โดย ปธน.อิสราเอล
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโศกนาฏกรรมของครอบครัว Bibas ไม่ใช่เพียงเรื่องของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก
เหตุการณ์การลักพาตัวของครอบครัว Bibas ถูกบันทึกไว้ในวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของเหตุโจมตีในวันที่ 7 ต.ค. โดยเป็นภาพของ Shiri Bibas ที่กอดลูกทั้ง 2 ของเธอแน่นด้วยความหวาดกลัว เด็กชาย Ariel ยังคงดูดจุกนมของเขาอยู่ในอ้อมแขนของแม่ ต่อมา กองทัพอิสราเอล (IDF) ได้เผยแพร่วิดีโออีกชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาหลังจากวันที่ถูกลักพาตัว
อย่างไรก็ตาม ในข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวช่วงปลายเดือน พ.ย.2566 ที่มีการปล่อยตัวตัวประกันสตรีและเด็กจำนวนมาก แต่ครอบครัว Bibas กลับไม่ถูกปล่อยตัว แม้จะมีข้อตกลงว่าผู้หญิงและเด็กทั้งหมดควรได้รับอิสรภาพ และฮามาสได้ออกมาอ้างว่าครอบครัว Bibas เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่ไม่มีการนำเสนอหลักฐานยืนยันใด ๆ ขณะที่ทางอิสราเอลเองก็ไม่เคยออกมายืนยันข่าวดังกล่าว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฮามาสได้ปล่อยวิดีโอของ Yarden Bibas สามีของ Shiri ที่ยังถูกกักขังอยู่ ซึ่งในวิดีโอนั้นเขาได้กล่าวโทษ นายกฯ อิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ภรรยาและลูก ๆ ของเขาเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเชื่อว่า Yarden ถูกบังคับให้พูดในวิดีโอดังกล่าว และเขาอาจอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้จับกุม
หลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา Yarden ได้ออกแถลงการณ์ว่า "ครอบครัวของผมยังคงอยู่ที่นั่น แสงสว่างของผมยังไม่กลับมา ได้โปรดช่วยผมพาพวกเขากลับมา"
Oded Lifshitz การรอคอย 502 วันอันแสนเศร้า
อีกหนึ่งร่างตัวประกันที่ถูกส่งคืนในครั้งนี้คือ Oded Lifshitz ชายวัย 83 ปี ซึ่งถูกลักพาตัวไปพร้อมกับภรรยา Yocheved Lifshitz เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2566 ต่อมาภรรยาได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2566 แต่ Oded ยังคงอยู่ในการควบคุมตัวของฮามาส จนกระทั่งศพของเขาถูกส่งคืนมาพร้อมกับครอบครัว Bibas ครอบครัวของ Oded ได้ออกแถลงการณ์แสดงความโศกเศร้าว่า
ตลอด 502 วันที่ผ่านมา เราหวังเสมอว่าจะได้เห็นเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย
แต่ในที่สุด เราก็ต้องรับรู้ความจริงอันโหดร้ายนี้
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกและความสูญเสีย อิสราเอลยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะยังมีตัวประกันอีกอย่างน้อย 69 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในกาซา โดยยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการเจรจาเพื่อปล่อยตัวพวกเขา
แรงกดดันจากครอบครัวของตัวประกันและประชาชนอิสราเอลต่อรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องให้เร่งแก้ไขวิกฤตินี้โดยเร็วที่สุด แม้ว่าการคืนศพในครั้งนี้จะช่วยปิดฉากความไม่แน่นอนสำหรับบางครอบครัว แต่ก็ยังทิ้งคำถามมากมายเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวประกันที่เหลือ และความพยายามในการยุติความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่
อ่านข่าวอื่น :