เรียบเรียงโดย : จักร ปานสมัย
“ข้าพเจ้าคิดเหนว่าลูกทาส ซึ่งเกิดในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ออกจากท้องภอลืมตาก็ต้องนับเปนทาสมีค่าตัวไป จนถึงอายุ 100 หนึ่งก็ยังไม่หมด ดังนี้ดูเปนหามีความกรุณาแก่ลูกทาสไม่ ด้วยตัวเดกที่เกิดมาไม่ได้รู้ ไม่ได้เหนสิ่งไรเลย บิดามารดาทำชั่วไปขายตัวท่าน แล้วยังภาบุตรไปให้เปนทาสจนสิ้นชีวิตรอีกเล่า เพรารับโทษทุกข์ของบิดามารดาเท่านั้นเอง หาควรที่จะเอาเปนทาสจนตลอดชีวิตรไม่...”
พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยเรื่องทาสและเกษียณอายุที่อ้างอิงถึงข้างบนนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “ทาสในเรือนเบี้ย” คือทาสกลุ่มแรกที่พระองค์ทรงคำนึงถึงความสำคัญและความเป็นไปได้ที่จะริเริ่มการเลิกทาส ซึ่งตามประวัติศาสตร์ไทยนั้น ในพระไอยการทาสกำหนดให้ทาสมี 7 ประเภท ดังนี้
การปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสรชน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงริเริ่มที่ทาสในเรือนเบี้ยเป็นกลุ่มแรก เหตุเพราะทรงมีพระราชดำริว่าทาสในเรือนเบี้ยนั้นพอลืมตามาก็ต้องเป็นทาสเลย ซ้ำร้ายยังต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต เพราะจนอายุ 100 ปี ก็ยังคงมีราคาค่างวด ซึ่งดูไม่มีความกรุณาต่อลูกทาสเลย เด็กเหล่านี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องเป็นทาสเพราะพ่อแม่ของตนเป็นทาส ได้รับโทษทุกข์ต่อจากบิดามารดา แต่จะให้ทาสในเรือนเบี้ยเกิดมาแล้วพ้นจากความเป็นทาสเลยก็จะเป็นอันตรายต่อเด็กเหล่านี้อีก เพราะนายทาสเมื่อเห็นว่าลูกทาสเหล่านี้ไร้ประโยชน์ ก็อาจไม่ประสงค์ให้มารดาของเด็กเลี้ยงลูกให้เติบโตสืบไป
ดังนั้น สิ่งแรกที่พระองค์ทรงทำคือการปรับค่าตัวทาสในเรือนเบี้ย จากเดิมทีที่ค่าตัวสูงสุดของทาสจะอยู่วัยฉกรรจ์ เช่น ทาสชายค่าตัวสูงสุดถึง 56 บาท ในช่วงอายุ 26 - 40 ปี ส่วนทาสหญิง ค่าตัวสูงสุดคือ 48 บาท ในช่วงอายุ 21 - 30 ปี ก็ทรงเปลี่ยนค่าตัวสูงสุดของลูกทาสทั้งชายหญิงเป็นช่วงอายุ 8 - 9 ปี จากนั้นจึงค่อย ๆ ลดลงไปทุกปี จนกระทั่งอายุครบ 21 ปี ก็คือว่าหมดเกษียณอายุทาส ให้เป็นไทแก่ตัว การกำหนดช่วงอายุเช่นนี้ พระองค์ทรงใช้ขนบธรรมเนียมไทยเป็นกุศโลบาย เพราะผู้ชายก็ถึงเวลาออกบวชทดแทนบุญคุณบุพการี ส่วนผู้หญิงก็ถึงเวลาออกเรือนมีสามีและมีลูก
โดยการปรับค่าตัวทาสในเรือนเบี้ยดังกล่าว พระองค์ทรงเริ่มจากลูกทาสที่เกิดในปีมะโรง พ.ศ.2411 เนื่องจากเป็นปีแรกที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยโปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส ดังนั้นในปี 2432 ลูกทาสที่เกิดในปี 2411 จึงเป็นลูกทาสกลุ่มแรกที่ได้เป็นไท และก็เป็นเช่นนี้ในปีต่อ ๆ มา ด้วยวิธีนี้ทาสในเรือนเบี้ย หรือลูกทาส จึงมีโอกาสหลุดพ้นจากความเป็นทาสเร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเป็นทาสจนชั่วชีวิตดังเช่นแต่ก่อน สิ่งเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ล้วนเห็นแจ้งตรงกันว่าการเริ่มต้นด้วยทาสในเรือนเบี้ยตามวิธีการดังกล่าว จะไม่กระทบกระเทือนตัวนายทาสมากมาย เพราะทาสกลุ่มอื่นก็ยังคงอยู่รับใช้นายทาส
ใช่เพียงแต่การทำให้ทาสในเรือนเบี้ยเป็นไทเท่านั้น ทว่าพระองค์ยังทรงมองการณ์ไกล ทรงมีพระราชดำริว่า
"หากต้องการให้ลูกทาสเป็นไทอย่างแท้จริง
แล้วไม่กลับมาเป็นทาสอีก
ก็ต้องทำให้มีความรู้ติดตัว
เพื่อไปทำมาหากินเลี้ยงชีพด้วย"
พระองค์จึงส่งเสริมให้ลูกทาสทุกคนได้มีการศึกษาผ่านสถานศึกษาสำคัญในยุคนั้น นั่นคือวัด เช่น การเรียนภาษาไทย หรือเลข เพื่อให้มีความรู้เพียงพอที่จะประกอบอาชีพเสมียนได้ ส่วนผู้หญิงย่อมควรแก่การศึกษาเรื่องครัวเรือน
เมื่อพ้นจากทาสในเรือนเบี้ยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงดำเนินการกับทาสกลุ่มอื่น ๆ ตามมา ด้วยวิธีการที่ละมุนละม่อม จนในที่สุดการเลิกทาสก็สำเร็จดังที่พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะนางหนุ่ยมีลูก หรือทาสเรือนไหน ๆ มีลูก ก็เป็นโชคดีนานัปการของลูกทาสเหล่านั้นที่มิต้องทนเป็นทาสไปทั้งชีวิต
รายการอ้างอิง
เรียบเรียงโดย : จักร ปานสมัย
“ข้าพเจ้าคิดเหนว่าลูกทาส ซึ่งเกิดในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ออกจากท้องภอลืมตาก็ต้องนับเปนทาสมีค่าตัวไป จนถึงอายุ 100 หนึ่งก็ยังไม่หมด ดังนี้ดูเปนหามีความกรุณาแก่ลูกทาสไม่ ด้วยตัวเดกที่เกิดมาไม่ได้รู้ ไม่ได้เหนสิ่งไรเลย บิดามารดาทำชั่วไปขายตัวท่าน แล้วยังภาบุตรไปให้เปนทาสจนสิ้นชีวิตรอีกเล่า เพรารับโทษทุกข์ของบิดามารดาเท่านั้นเอง หาควรที่จะเอาเปนทาสจนตลอดชีวิตรไม่...”
พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยเรื่องทาสและเกษียณอายุที่อ้างอิงถึงข้างบนนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “ทาสในเรือนเบี้ย” คือทาสกลุ่มแรกที่พระองค์ทรงคำนึงถึงความสำคัญและความเป็นไปได้ที่จะริเริ่มการเลิกทาส ซึ่งตามประวัติศาสตร์ไทยนั้น ในพระไอยการทาสกำหนดให้ทาสมี 7 ประเภท ดังนี้
การปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสรชน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงริเริ่มที่ทาสในเรือนเบี้ยเป็นกลุ่มแรก เหตุเพราะทรงมีพระราชดำริว่าทาสในเรือนเบี้ยนั้นพอลืมตามาก็ต้องเป็นทาสเลย ซ้ำร้ายยังต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต เพราะจนอายุ 100 ปี ก็ยังคงมีราคาค่างวด ซึ่งดูไม่มีความกรุณาต่อลูกทาสเลย เด็กเหล่านี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องเป็นทาสเพราะพ่อแม่ของตนเป็นทาส ได้รับโทษทุกข์ต่อจากบิดามารดา แต่จะให้ทาสในเรือนเบี้ยเกิดมาแล้วพ้นจากความเป็นทาสเลยก็จะเป็นอันตรายต่อเด็กเหล่านี้อีก เพราะนายทาสเมื่อเห็นว่าลูกทาสเหล่านี้ไร้ประโยชน์ ก็อาจไม่ประสงค์ให้มารดาของเด็กเลี้ยงลูกให้เติบโตสืบไป
ดังนั้น สิ่งแรกที่พระองค์ทรงทำคือการปรับค่าตัวทาสในเรือนเบี้ย จากเดิมทีที่ค่าตัวสูงสุดของทาสจะอยู่วัยฉกรรจ์ เช่น ทาสชายค่าตัวสูงสุดถึง 56 บาท ในช่วงอายุ 26 - 40 ปี ส่วนทาสหญิง ค่าตัวสูงสุดคือ 48 บาท ในช่วงอายุ 21 - 30 ปี ก็ทรงเปลี่ยนค่าตัวสูงสุดของลูกทาสทั้งชายหญิงเป็นช่วงอายุ 8 - 9 ปี จากนั้นจึงค่อย ๆ ลดลงไปทุกปี จนกระทั่งอายุครบ 21 ปี ก็คือว่าหมดเกษียณอายุทาส ให้เป็นไทแก่ตัว การกำหนดช่วงอายุเช่นนี้ พระองค์ทรงใช้ขนบธรรมเนียมไทยเป็นกุศโลบาย เพราะผู้ชายก็ถึงเวลาออกบวชทดแทนบุญคุณบุพการี ส่วนผู้หญิงก็ถึงเวลาออกเรือนมีสามีและมีลูก
โดยการปรับค่าตัวทาสในเรือนเบี้ยดังกล่าว พระองค์ทรงเริ่มจากลูกทาสที่เกิดในปีมะโรง พ.ศ.2411 เนื่องจากเป็นปีแรกที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยโปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส ดังนั้นในปี 2432 ลูกทาสที่เกิดในปี 2411 จึงเป็นลูกทาสกลุ่มแรกที่ได้เป็นไท และก็เป็นเช่นนี้ในปีต่อ ๆ มา ด้วยวิธีนี้ทาสในเรือนเบี้ย หรือลูกทาส จึงมีโอกาสหลุดพ้นจากความเป็นทาสเร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเป็นทาสจนชั่วชีวิตดังเช่นแต่ก่อน สิ่งเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ล้วนเห็นแจ้งตรงกันว่าการเริ่มต้นด้วยทาสในเรือนเบี้ยตามวิธีการดังกล่าว จะไม่กระทบกระเทือนตัวนายทาสมากมาย เพราะทาสกลุ่มอื่นก็ยังคงอยู่รับใช้นายทาส
ใช่เพียงแต่การทำให้ทาสในเรือนเบี้ยเป็นไทเท่านั้น ทว่าพระองค์ยังทรงมองการณ์ไกล ทรงมีพระราชดำริว่า
"หากต้องการให้ลูกทาสเป็นไทอย่างแท้จริง
แล้วไม่กลับมาเป็นทาสอีก
ก็ต้องทำให้มีความรู้ติดตัว
เพื่อไปทำมาหากินเลี้ยงชีพด้วย"
พระองค์จึงส่งเสริมให้ลูกทาสทุกคนได้มีการศึกษาผ่านสถานศึกษาสำคัญในยุคนั้น นั่นคือวัด เช่น การเรียนภาษาไทย หรือเลข เพื่อให้มีความรู้เพียงพอที่จะประกอบอาชีพเสมียนได้ ส่วนผู้หญิงย่อมควรแก่การศึกษาเรื่องครัวเรือน
เมื่อพ้นจากทาสในเรือนเบี้ยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงดำเนินการกับทาสกลุ่มอื่น ๆ ตามมา ด้วยวิธีการที่ละมุนละม่อม จนในที่สุดการเลิกทาสก็สำเร็จดังที่พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะนางหนุ่ยมีลูก หรือทาสเรือนไหน ๆ มีลูก ก็เป็นโชคดีนานัปการของลูกทาสเหล่านั้นที่มิต้องทนเป็นทาสไปทั้งชีวิต
รายการอ้างอิง