เปอร์ สุวิกรม เดินทางมาที่อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี อำเภอที่มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อชาวละว้าอพยพมาตั้งรกรากถิ่นฐาน พร้อมกับการก่อสร้างสำนักสงฆ์ที่ใช้อิฐมอญสีแดงเป็นวัสดุหลัก จนกลายเป็นที่มาของชื่อ "วิหารแดง" ที่เรียกขานกันจนถึงปัจจุบัน แต่เดิมวิหารแดงเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอหนองแค แต่เนื่องจากพื้นที่ขยายใหญ่ขึ้น จึงได้แยกออกมาเป็นอำเภอเพื่อให้ประชาชนเดินทางไปทำธุระที่อำเภอได้สะดวกยิ่งขึ้น
ปัจจุบันตัวสำนักสงฆ์ดั้งเดิมได้กลายเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน ร่องรอยของวิหารเดิมที่ทำด้วยอิฐมอญสีแดงจึงหาได้ยาก แต่ยังมีการขุดค้นพบซากโบราณสถานบริเวณใต้ดินอยู่บ้าง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะ นอกจากนี้ ยังมีศาลเจ้าพ่อแดง ศาลศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ มีงานประจำปีที่มีผู้คนใส่ชุดสีแดงมาสักการะเป็นพันๆ คน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงดำรงอยู่ อำเภอวิหารแดงเป็นพื้นที่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 75% ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำนา ปลูกปาล์ม หรือมันสำปะหลัง แต่ก็มีศูนย์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเครืออิตาเลียนไทยตั้งอยู่ ทำให้มีการจ้างงานทั้งชาวไทยและแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะชาวพม่า เข้ามาทำงานในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
เปอร์ได้พบกับพี่น้อย ช่างอลูมิเนียมผู้ผ่านวิกฤตชีวิตจากการดื่มเหล้าหนัก จนเกิดเส้นเลือดในสมองแตก เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนปีใหม่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ขณะที่พี่น้อยกลับบ้านและเข้านอนเร็วผิดปกติ ครอบครัวสังเกตเห็นความผิดปกติและรีบนำส่งโรงพยาบาลวิหารแดง ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสระบุรี พี่น้อยต้องอยู่โรงพยาบาลนานถึง 42 วัน และใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายอีก 3-4 เดือน ในช่วงแรกของการฟื้นตัว เขาจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนคนเบลอ แต่ด้วยการรักษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันพี่น้อยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทั้งเดิน วิ่ง และประกอบอาชีพช่างอลูมิเนียมได้อีกครั้ง บทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้ทำให้เขาเลิกดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด พี่น้อยยังได้เล่าถึงความภาคภูมิใจในอาชีพช่างอลูมิเนียม ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำสูงในการวัดและคำนวณ แม้แต่ความผิดพลาดเพียงหนึ่งมิลลิเมตรก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะจะทำให้ชิ้นงานไม่สวยงาม เขาเคยรับงานใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ รวมถึงอาคารชินวัตร 3 และตึกออซีซั่นบนถนนวิทยุ ที่มีชิ้นส่วนอลูมิเนียมรูปทรงสามเหลี่ยมซึ่งสร้างรายได้ให้เขาถึง 2 ล้านบาท แม้รายได้จะสูง แต่พี่น้อยยอมรับว่าหมดไปกับการเที่ยว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุทางสมองและเปลี่ยนชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
อีกคนที่น่าสนใจคือพี่พงษ์ อดีตวิศวกรจากกรุงเทพฯ ที่ตัดสินใจเกษียณตัวเองและย้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่วิหารแดงกว่า 10 ปีแล้ว เขาซื้อที่ดิน 8 ไร่ในราคา 3 ล้านบาท และปลูกต้นไม้มีค่าไว้มากมาย เช่น ไม้สัก พยุง และย่างนา เพื่อเป็นสมบัติให้ลูกสาวคนเดียวในอนาคต ปัจจุบันลูกสาวอายุยี่สิบปลายๆ กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับโอกาสไปศึกษาที่ประเทศจีนเป็นเวลา 6 เดือน พี่พงษ์เล่าว่า ชีวิตหลังเกษียณที่วิหารแดงทำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ซึ่งนอกจากทำนาแล้ว ยังปลูกพืชหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ถั่ว งา บวบ ข้าวโพด และแตงโม โดยเฉพาะแตงโมที่มีการปลูกกันเป็นร้อยไร่ เขาเล่าว่าแรกๆ ไม่ได้ล้อมรั้วบ้าน ทำให้มีเพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ จนเกิดความสัมพันธ์อันดีกับคนในชุมชน
หนึ่งในแรงงานข้ามชาติที่เปอร์ได้พบคือพี่อาก้า ชาวพม่าที่อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550 หรือประมาณ 18 ปีที่แล้ว เขาเล่าถึงเส้นทางการเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องแอบหลบซ่อนในป่านานถึง 5-6 วัน มีอาหารไม่เพียงพอ กินแต่มาม่า กล้วย และอาหารที่หาได้ในป่า ก่อนจะมีรถบรรทุกมารับเพื่อเข้ามาในประเทศไทย โดยต้องจ่ายเงินจำนวนมากให้กับผู้นำพา พี่อาก้าเปิดร้านขายอาหารพม่าในชุมชนแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตอุตสาหกรรมวิหารแดง อาหารพม่าที่เขาขายมีรสชาติต่างจากอาหารไทย โดยไม่ใส่น้ำตาลแต่ใส่ผงชูรสบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อปรุงรสให้ถูกปากชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
นอกจากการค้าขาย พี่อาก้ายังมีอาชีพเสริมคือขับซาเล้งไปซื้อของที่ตลาดไท รังสิต ซึ่งอยู่ห่างไกลจากวิหารแดงมาก โดยต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 และกลับถึงบ้านในเวลาเที่ยง ทั้งนี้เพราะต้องหาวัตถุดิบพิเศษสำหรับทำอาหารพม่า และของใช้จำเป็นอื่นๆ ที่หาไม่ได้ในตลาดท้องถิ่น
ชีวิตในประเทศไทยแม้จะยากลำบาก แต่พี่อาก้าบอกว่ายังดีกว่าอยู่ในพม่า ซึ่งปัจจุบันเกิดความวุ่นวายทางการเมือง มีการสู้รบ ทำให้ประชาชนลำบากมาก ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร และไม่ปลอดภัย 2 ปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะกลัวทหารพม่าจะจับไปเป็นทหาร เนื่องจากขาดแคลนกำลังพลจากการสูญเสียในการสู้รบ พี่อาก้ายังคงส่งเงินกลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ที่มีอายุ 50-60 ปี ซึ่งไม่สามารถทำงานได้แล้ว แม้จะมีภาระหนักแต่เขาก็มีความสุขกับการได้ทำมาหากินในประเทศไทย และมีรายได้เลี้ยงครอบครัว ความฝันของเขาคือการอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายและมีชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น
ติดตามชมได้ในรายการ ยินดีที่ได้รู้จัก วันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 เวลา 17.05 - 17.30 น. ทางไทยพีบีเอส รับชมออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และรับชมยินดีที่ได้รู้จักฉบับ UNCUT ได้ที่ www.VIPA.me
เปอร์ สุวิกรม เดินทางมาที่อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี อำเภอที่มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อชาวละว้าอพยพมาตั้งรกรากถิ่นฐาน พร้อมกับการก่อสร้างสำนักสงฆ์ที่ใช้อิฐมอญสีแดงเป็นวัสดุหลัก จนกลายเป็นที่มาของชื่อ "วิหารแดง" ที่เรียกขานกันจนถึงปัจจุบัน แต่เดิมวิหารแดงเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอหนองแค แต่เนื่องจากพื้นที่ขยายใหญ่ขึ้น จึงได้แยกออกมาเป็นอำเภอเพื่อให้ประชาชนเดินทางไปทำธุระที่อำเภอได้สะดวกยิ่งขึ้น
ปัจจุบันตัวสำนักสงฆ์ดั้งเดิมได้กลายเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน ร่องรอยของวิหารเดิมที่ทำด้วยอิฐมอญสีแดงจึงหาได้ยาก แต่ยังมีการขุดค้นพบซากโบราณสถานบริเวณใต้ดินอยู่บ้าง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะ นอกจากนี้ ยังมีศาลเจ้าพ่อแดง ศาลศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ มีงานประจำปีที่มีผู้คนใส่ชุดสีแดงมาสักการะเป็นพันๆ คน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงดำรงอยู่ อำเภอวิหารแดงเป็นพื้นที่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 75% ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำนา ปลูกปาล์ม หรือมันสำปะหลัง แต่ก็มีศูนย์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเครืออิตาเลียนไทยตั้งอยู่ ทำให้มีการจ้างงานทั้งชาวไทยและแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะชาวพม่า เข้ามาทำงานในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
เปอร์ได้พบกับพี่น้อย ช่างอลูมิเนียมผู้ผ่านวิกฤตชีวิตจากการดื่มเหล้าหนัก จนเกิดเส้นเลือดในสมองแตก เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนปีใหม่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ขณะที่พี่น้อยกลับบ้านและเข้านอนเร็วผิดปกติ ครอบครัวสังเกตเห็นความผิดปกติและรีบนำส่งโรงพยาบาลวิหารแดง ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสระบุรี พี่น้อยต้องอยู่โรงพยาบาลนานถึง 42 วัน และใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายอีก 3-4 เดือน ในช่วงแรกของการฟื้นตัว เขาจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนคนเบลอ แต่ด้วยการรักษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันพี่น้อยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทั้งเดิน วิ่ง และประกอบอาชีพช่างอลูมิเนียมได้อีกครั้ง บทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้ทำให้เขาเลิกดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด พี่น้อยยังได้เล่าถึงความภาคภูมิใจในอาชีพช่างอลูมิเนียม ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำสูงในการวัดและคำนวณ แม้แต่ความผิดพลาดเพียงหนึ่งมิลลิเมตรก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะจะทำให้ชิ้นงานไม่สวยงาม เขาเคยรับงานใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ รวมถึงอาคารชินวัตร 3 และตึกออซีซั่นบนถนนวิทยุ ที่มีชิ้นส่วนอลูมิเนียมรูปทรงสามเหลี่ยมซึ่งสร้างรายได้ให้เขาถึง 2 ล้านบาท แม้รายได้จะสูง แต่พี่น้อยยอมรับว่าหมดไปกับการเที่ยว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุทางสมองและเปลี่ยนชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
อีกคนที่น่าสนใจคือพี่พงษ์ อดีตวิศวกรจากกรุงเทพฯ ที่ตัดสินใจเกษียณตัวเองและย้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่วิหารแดงกว่า 10 ปีแล้ว เขาซื้อที่ดิน 8 ไร่ในราคา 3 ล้านบาท และปลูกต้นไม้มีค่าไว้มากมาย เช่น ไม้สัก พยุง และย่างนา เพื่อเป็นสมบัติให้ลูกสาวคนเดียวในอนาคต ปัจจุบันลูกสาวอายุยี่สิบปลายๆ กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับโอกาสไปศึกษาที่ประเทศจีนเป็นเวลา 6 เดือน พี่พงษ์เล่าว่า ชีวิตหลังเกษียณที่วิหารแดงทำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ซึ่งนอกจากทำนาแล้ว ยังปลูกพืชหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ถั่ว งา บวบ ข้าวโพด และแตงโม โดยเฉพาะแตงโมที่มีการปลูกกันเป็นร้อยไร่ เขาเล่าว่าแรกๆ ไม่ได้ล้อมรั้วบ้าน ทำให้มีเพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ จนเกิดความสัมพันธ์อันดีกับคนในชุมชน
หนึ่งในแรงงานข้ามชาติที่เปอร์ได้พบคือพี่อาก้า ชาวพม่าที่อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550 หรือประมาณ 18 ปีที่แล้ว เขาเล่าถึงเส้นทางการเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องแอบหลบซ่อนในป่านานถึง 5-6 วัน มีอาหารไม่เพียงพอ กินแต่มาม่า กล้วย และอาหารที่หาได้ในป่า ก่อนจะมีรถบรรทุกมารับเพื่อเข้ามาในประเทศไทย โดยต้องจ่ายเงินจำนวนมากให้กับผู้นำพา พี่อาก้าเปิดร้านขายอาหารพม่าในชุมชนแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตอุตสาหกรรมวิหารแดง อาหารพม่าที่เขาขายมีรสชาติต่างจากอาหารไทย โดยไม่ใส่น้ำตาลแต่ใส่ผงชูรสบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อปรุงรสให้ถูกปากชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
นอกจากการค้าขาย พี่อาก้ายังมีอาชีพเสริมคือขับซาเล้งไปซื้อของที่ตลาดไท รังสิต ซึ่งอยู่ห่างไกลจากวิหารแดงมาก โดยต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 และกลับถึงบ้านในเวลาเที่ยง ทั้งนี้เพราะต้องหาวัตถุดิบพิเศษสำหรับทำอาหารพม่า และของใช้จำเป็นอื่นๆ ที่หาไม่ได้ในตลาดท้องถิ่น
ชีวิตในประเทศไทยแม้จะยากลำบาก แต่พี่อาก้าบอกว่ายังดีกว่าอยู่ในพม่า ซึ่งปัจจุบันเกิดความวุ่นวายทางการเมือง มีการสู้รบ ทำให้ประชาชนลำบากมาก ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร และไม่ปลอดภัย 2 ปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะกลัวทหารพม่าจะจับไปเป็นทหาร เนื่องจากขาดแคลนกำลังพลจากการสูญเสียในการสู้รบ พี่อาก้ายังคงส่งเงินกลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ที่มีอายุ 50-60 ปี ซึ่งไม่สามารถทำงานได้แล้ว แม้จะมีภาระหนักแต่เขาก็มีความสุขกับการได้ทำมาหากินในประเทศไทย และมีรายได้เลี้ยงครอบครัว ความฝันของเขาคือการอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายและมีชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น
ติดตามชมได้ในรายการ ยินดีที่ได้รู้จัก วันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 เวลา 17.05 - 17.30 น. ทางไทยพีบีเอส รับชมออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และรับชมยินดีที่ได้รู้จักฉบับ UNCUT ได้ที่ www.VIPA.me