ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

พุทราน้ำอ้อย กรอบอร่อย หวานฉ่ำจับใจ

ออกอากาศ27 เม.ย. 68

พุทราน้ำอ้อยถือเป็นผลไม้สายพันธุ์พิเศษที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ด้วยรสชาติที่หวานฉ่ำ เนื้อกรอบและมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำอ้อย ทำให้เป็นที่หลงใหลของผู้บริโภคที่ได้ลองชิม วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับพุทราน้ำอ้อย ผลไม้ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นแอปเปิล เพราะลูกโต แต่แท้จริงแล้วคือพุทราสายพันธุ์พิเศษนั่นเอง

พุทราน้ำอ้อยคืออะไร? ทำไมถึงได้ชื่อว่าน้ำอ้อย

พุทราน้ำอ้อยเป็นพุทราสายพันธุ์พิเศษที่มาจากไต้หวัน ลักษณะเด่นคือมีลูกโต เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ และที่สำคัญคือมีรสชาติหวานและมีกลิ่นคล้ายน้ำอ้อย เมื่อกัดเข้าไปจะได้กลิ่นหอมติดจมูก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "พุทราน้ำอ้อย" นั่นเอง

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเรียกพุทราน้ำอ้อย คำตอบคือเมื่อกัดรสชาติจะเหมือนน้ำอ้อย ทั้งนี้ไม่ได้ใช้น้ำอ้อยรดแต่อย่างใด แต่มันหวานโดยสายพันธุ์อยู่แล้ว ลูกใหญ่ หวานฉ่ำน้ำ และหวานกว่าพุทราทั่วไป เนื้อจะมีลักษณะคล้ายสาลี่ นุ่ม ฉ่ำ และมีกลิ่นน้ำอ้อย

เคล็ดลับการปลูกพุทราน้ำอ้อยให้ได้ผลผลิตคุณภาพ

การกางมุ้งป้องกันแมลงวันทอง

เกษตรกรผู้ปลูกพุทราน้ำอ้อยใช้วิธีกางมุ้งครอบสวนเพื่อป้องกันแมลงวันทอง ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของพุทรา การกางมุ้งช่วยลดการใช้สารเคมีและทำให้ผลผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภคและผู้ปลูกเอง โดยวิธีการคือปลูกพุทราระยะ 5x5 และปักเสามุ้งที่ระยะ 5x5 เมตร ความสูงของเสากลางประมาณ 3.30 เมตร ส่วนเสาริมจะอยู่ที่ 3 เมตรและมีเหล็กค้ำทุกต้นเพื่อป้องกันลม

มุ้งที่ใช้เป็นมุ้งขนาด 16 ตา หน้ากว้าง 3.60 เมตร ม้วนละ 100 เมตร นำมาเย็บต่อกัน และค่อย ๆ ดึงขึ้นทีละผืน โดยฝนตกและลมสามารถพัดผ่านได้ ซึ่งต่างจากมุ้งตาถี่ที่จะต้านลมและทำให้โครงสร้างเสียหาย

การขยายพันธุ์พุทราน้ำอ้อย

การขยายพันธุ์พุทราน้ำอ้อยไม่สามารถทำได้ด้วยการเพาะเมล็ด เนื่องจากเมล็ดจะกลายพันธุ์ ทำให้ต้นที่งอกขึ้นมาอาจไม่มีลักษณะตรงตามสายพันธุ์เดิม วิธีที่เหมาะสมคือการเสียบยอด โดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ ไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป มีสีเขียวน้ำตาล

ขั้นตอนการเสียบยอดเริ่มจากการตัดตอพุทราป่า ซึ่งเป็นพุทราที่เกิดตามข้างทาง สูงจากพื้นประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นนำกิ่งพันธุ์ดีที่มีขนาดเท่ากับต้นตอมาตัดเป็นรูปลิ่ม แล้วเสียบลงในต้นตอที่ผ่าไว้ พันด้วยพาราฟิล์มเพื่อเก็บความชื้น กันน้ำและฝน โดยพาราฟิล์มจะย่อยสลายเองได้เมื่อเวลาผ่านไป

หลังจากเสียบยอดแล้ว ให้วางไว้ในที่แดดรำไรหรือกลางแจ้ง ห้ามรดน้ำประมาณ 3 - 5 วันเพื่อป้องกันรากเน่า ประมาณ 7 วันจะเริ่มแตกตา 15 วันเริ่มมีใบเล็กๆ และ 45 วันจะได้ต้นพันธุ์ที่พร้อมขายหรือปลูก

การปลูกและดูแลรักษา

การปลูกพุทราน้ำอ้อยเริ่มจากการขุดหลุมลึกเท่ากับถุงต้นพันธุ์ และควรปักหลักสูงประมาณ 2 เมตรไว้ก่อน เพื่อยึดต้นไม้เมื่อโตขึ้น วางต้นพันธุ์ชิดกับหลัก กลบดินโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม ใช้เชือกฟางผูกต้นไว้กับหลัก จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นเล็กน้อย ต้นละหนึ่งถัง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

พุทราน้ำอ้อยชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่ชอบน้ำขัง สามารถรดน้ำได้ทั้งช่วงเช้าและเย็น ถ้าปลูกได้ 6 - 7 เดือน สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว ในสวนมักจะใช้ระบบน้ำแบบมินิสปริงเกอร์ และมีการให้อาหารทางน้ำด้วยการผสมปุ๋ยหรือน้ำหมักในอัตราส่วน 1 ลิตรต่อน้ำ 200 ลิตร ให้ทุกอาทิตย์ในช่วงเช้า

การทำน้ำหมักบำรุงพุทราสูตรง่าย ๆ

น้ำหมักที่ใช้บำรุงพุทราน้ำอ้อยทำได้ง่าย ๆ ช่วงแรกที่ปลูกใหม่จะใช้น้ำหมักมูลวัวเพื่อเร่งการเจริญเติบโต เนื่องจากมีไนโตรเจนสูง ช่วยให้ดินมีจุลินทรีย์และต้นพุทราโตเร็ว วิธีทำคือนำมูลวัว 5 กิโลกรัม หรือประมาณ 1 ถัง ผสมกับน้ำ 100 ลิตร หมักทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ จากนั้นกรองเอาน้ำไปรดต้นไม้ได้เลย

เมื่อพุทรามีอายุได้ 4 - 5 เดือน จะเปลี่ยนมาใช้น้ำหมักมูลค้างคาวแทน เพราะมีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยในการเร่งดอกและทำให้รสชาติดีขึ้น

การเก็บเกี่ยวและการดูแลหลังการเก็บเกี่ยว

พุทราน้ำอ้อยจะติดดอกในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ระยะเวลาเก็บประมาณ 1 - 2 เดือน การเก็บเกี่ยวจะไล่เก็บเป็นแถว เลือกเก็บเฉพาะลูกที่แก่จัด สังเกตได้จากผลที่บานและมีขอบสีน้ำตาล ส่วนลูกที่ไม่สมบูรณ์ เช่น เบี้ยวหรือมีรอยหนอนเจาะ ควรเด็ดออก

การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้า เพราะรสชาติจะฉ่ำและกรอบกว่าช่วงสาย ซึ่งผลจะเริ่มเหี่ยว พุทราน้ำอ้อยหนึ่งต้นให้ผลผลิตประมาณ 100 กิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท

หลังการเก็บเกี่ยว ต้องนำผลผลิตมาล้างทำความสะอาด เพื่อกำจัดเศษดอกและเกสรที่ติดมา ล้างด้วยน้ำสองครั้ง แล้วเช็ดให้แห้งเพื่อป้องกันการเน่าเสียระหว่างส่งให้ลูกค้า จากนั้นแพ็กถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาโลละ 100 บาท แช่เย็นเก็บได้นานถึง 1 อาทิตย์ แต่ถ้าไม่แช่จะอยู่ได้เพียง 2 - 3 วันเท่านั้น

เคล็ดลับในการรับประทานพุทราน้ำอ้อยให้อร่อยคือ หลังจากเก็บเสร็จให้นำไปใส่ตู้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง หรือใส่ในช่องแช่แข็งสัก 10 นาที เมื่อนำออกมารับประทานจะรู้สึกฉ่ำและชื่นใจมาก

การดูแลหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต

เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จในเดือนมีนาคม เกษตรกรจะตัดต้นทำสาว และงดให้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้แตกยอดใหม่ เนื่องจากหลังเก็บผลผลิตใบจะโทรม พุทราต่างจากไม้ผลชนิดอื่นตรงที่เมื่อตัดทำสาวเสร็จ จะแตกต้นใหม่และพร้อมให้ผลผลิตที่ดีกว่าเดิม ลูกจะใหญ่และใบจะสวยกว่าเดิม

เมื่อยอดใหม่ออกมา ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงเลี้ยงยอด พอได้ 3 - 4 เดือน ก็เตรียมใส่ปุ๋ยสะสมอาหารและขับเร่งดอกออก

ปัญหาและการแก้ไขในการปลูกพุทราน้ำอ้อย

ปัญหาหนึ่งของการปลูกพุทราน้ำอ้อยคือการขาดธาตุอาหาร เนื่องจากเป็นพุทราสายพันธุ์หวานที่ต้องการสารอาหารค่อนข้างมากกว่าพุทราทั่วไป ต้องหมั่นสังเกต หากพบว่าใบมีลักษณะลาย แสดงว่าขาดแมกนีเซียม ต้องรีบฉีดพ่นทางใบ ไม่เช่นนั้นลูกจะเล็ก

อีกปัญหาหนึ่งคือเมื่อได้รับน้ำฝนมากเกินไป หรือได้รับไนโตรเจนมากเกินไป พุทราจะสลัดลูก ทำให้ลูกเหี่ยว เหลือง และอาจเกิดเชื้อราตามมา กลายเป็นสีดำ ควรเก็บออกจากแปลงเพื่อป้องกันการระบาดไปยังผลอื่นๆ

แนวทางการแปรรูปและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพุทราน้ำอ้อย

นอกจากการรับประทานสดแล้ว พุทราน้ำอ้อยยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ตำพุทราผลไม้รวม ซึ่งเป็นส้มตำที่ใช้พุทราน้ำอ้อยแทนมะละกอ ให้รสชาติแปลกใหม่ หวานฉ่ำ อร่อย

นอกจากนี้ ยังสามารถทำเป็นพุทราน้ำอ้อยบ๊วย โดยนำพุทราน้ำอ้อยมาหั่นและปรุงรส ให้ได้รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม สดชื่น

ในอนาคตหากผลผลิตมีมากเกินความต้องการของตลาด เกษตรกรยังมีแผนที่จะแปรรูปเป็นพุทราเนื้อหนึบ พุทราอบแห้ง พุทราเชื่อม หรือพุทราแช่อิ่ม เพื่อเพิ่มมูลค่าและยืดอายุการเก็บรักษา

จากหนุ่มโรงงานสู่เกษตรกรผู้ปลูกพุทราน้ำอ้อย

เจ้าของสวนพุทราน้ำอ้อยเล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานในโรงงานที่บางปะอิน และมีอาชีพพันธุ์หม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับเครื่องขยายเสียงอยู่ประมาณ 15 ปี จนมีบ้าน มีรถ และมีเงินเหลือมาซื้อที่นาสำหรับทำเกษตร

การตัดสินใจกลับมาทำเกษตรเกิดจากความคิดที่ว่า อาชีพเดียวที่มั่นคงและอยู่ได้ยาวคืออาชีพเกษตร โดยเฉพาะหากเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น สงคราม สิ่งเดียวที่ต้องการคืออาหาร การทำเกษตรจึงเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับครอบครัว

ปัจจุบันเป็นเกษตรกรมา 4 ปีแล้ว สามารถสร้างงาน มีรายได้เลี้ยงครอบครัวตลอดทั้งปี และที่สำคัญคือการได้ผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ให้ลูกค้าได้ชิมและทาน ซึ่งเป็นความสุขที่ไม่ได้คำนึงถึงรายได้เพียงอย่างเดียว

สรุป

พุทราน้ำอ้อยเป็นผลไม้ที่น่าสนใจ ด้วยลักษณะพิเศษที่มีลูกโต เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ และมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำอ้อย ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด การปลูกพุทราน้ำอ้อยไม่ยุ่งยาก แต่ต้องมีการดูแลและให้ธาตุอาหารที่เพียงพอ สำหรับผู้ที่สนใจปลูกเป็นอาชีพ สามารถสร้างรายได้ที่ดีและมั่นคง

พุทราน้ำอ้อยไม่เพียงแต่รับประทานสดเท่านั้น ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและยืดอายุการเก็บรักษา นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรที่ต้องการความแปลกใหม่และตลาดที่แตกต่าง

ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live

พุทราน้ำอ้อยถือเป็นผลไม้สายพันธุ์พิเศษที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ด้วยรสชาติที่หวานฉ่ำ เนื้อกรอบและมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำอ้อย ทำให้เป็นที่หลงใหลของผู้บริโภคที่ได้ลองชิม วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับพุทราน้ำอ้อย ผลไม้ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นแอปเปิล เพราะลูกโต แต่แท้จริงแล้วคือพุทราสายพันธุ์พิเศษนั่นเอง

พุทราน้ำอ้อยคืออะไร? ทำไมถึงได้ชื่อว่าน้ำอ้อย

พุทราน้ำอ้อยเป็นพุทราสายพันธุ์พิเศษที่มาจากไต้หวัน ลักษณะเด่นคือมีลูกโต เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ และที่สำคัญคือมีรสชาติหวานและมีกลิ่นคล้ายน้ำอ้อย เมื่อกัดเข้าไปจะได้กลิ่นหอมติดจมูก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "พุทราน้ำอ้อย" นั่นเอง

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเรียกพุทราน้ำอ้อย คำตอบคือเมื่อกัดรสชาติจะเหมือนน้ำอ้อย ทั้งนี้ไม่ได้ใช้น้ำอ้อยรดแต่อย่างใด แต่มันหวานโดยสายพันธุ์อยู่แล้ว ลูกใหญ่ หวานฉ่ำน้ำ และหวานกว่าพุทราทั่วไป เนื้อจะมีลักษณะคล้ายสาลี่ นุ่ม ฉ่ำ และมีกลิ่นน้ำอ้อย

เคล็ดลับการปลูกพุทราน้ำอ้อยให้ได้ผลผลิตคุณภาพ

การกางมุ้งป้องกันแมลงวันทอง

เกษตรกรผู้ปลูกพุทราน้ำอ้อยใช้วิธีกางมุ้งครอบสวนเพื่อป้องกันแมลงวันทอง ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของพุทรา การกางมุ้งช่วยลดการใช้สารเคมีและทำให้ผลผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภคและผู้ปลูกเอง โดยวิธีการคือปลูกพุทราระยะ 5x5 และปักเสามุ้งที่ระยะ 5x5 เมตร ความสูงของเสากลางประมาณ 3.30 เมตร ส่วนเสาริมจะอยู่ที่ 3 เมตรและมีเหล็กค้ำทุกต้นเพื่อป้องกันลม

มุ้งที่ใช้เป็นมุ้งขนาด 16 ตา หน้ากว้าง 3.60 เมตร ม้วนละ 100 เมตร นำมาเย็บต่อกัน และค่อย ๆ ดึงขึ้นทีละผืน โดยฝนตกและลมสามารถพัดผ่านได้ ซึ่งต่างจากมุ้งตาถี่ที่จะต้านลมและทำให้โครงสร้างเสียหาย

การขยายพันธุ์พุทราน้ำอ้อย

การขยายพันธุ์พุทราน้ำอ้อยไม่สามารถทำได้ด้วยการเพาะเมล็ด เนื่องจากเมล็ดจะกลายพันธุ์ ทำให้ต้นที่งอกขึ้นมาอาจไม่มีลักษณะตรงตามสายพันธุ์เดิม วิธีที่เหมาะสมคือการเสียบยอด โดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ ไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป มีสีเขียวน้ำตาล

ขั้นตอนการเสียบยอดเริ่มจากการตัดตอพุทราป่า ซึ่งเป็นพุทราที่เกิดตามข้างทาง สูงจากพื้นประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นนำกิ่งพันธุ์ดีที่มีขนาดเท่ากับต้นตอมาตัดเป็นรูปลิ่ม แล้วเสียบลงในต้นตอที่ผ่าไว้ พันด้วยพาราฟิล์มเพื่อเก็บความชื้น กันน้ำและฝน โดยพาราฟิล์มจะย่อยสลายเองได้เมื่อเวลาผ่านไป

หลังจากเสียบยอดแล้ว ให้วางไว้ในที่แดดรำไรหรือกลางแจ้ง ห้ามรดน้ำประมาณ 3 - 5 วันเพื่อป้องกันรากเน่า ประมาณ 7 วันจะเริ่มแตกตา 15 วันเริ่มมีใบเล็กๆ และ 45 วันจะได้ต้นพันธุ์ที่พร้อมขายหรือปลูก

การปลูกและดูแลรักษา

การปลูกพุทราน้ำอ้อยเริ่มจากการขุดหลุมลึกเท่ากับถุงต้นพันธุ์ และควรปักหลักสูงประมาณ 2 เมตรไว้ก่อน เพื่อยึดต้นไม้เมื่อโตขึ้น วางต้นพันธุ์ชิดกับหลัก กลบดินโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม ใช้เชือกฟางผูกต้นไว้กับหลัก จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นเล็กน้อย ต้นละหนึ่งถัง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

พุทราน้ำอ้อยชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่ชอบน้ำขัง สามารถรดน้ำได้ทั้งช่วงเช้าและเย็น ถ้าปลูกได้ 6 - 7 เดือน สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว ในสวนมักจะใช้ระบบน้ำแบบมินิสปริงเกอร์ และมีการให้อาหารทางน้ำด้วยการผสมปุ๋ยหรือน้ำหมักในอัตราส่วน 1 ลิตรต่อน้ำ 200 ลิตร ให้ทุกอาทิตย์ในช่วงเช้า

การทำน้ำหมักบำรุงพุทราสูตรง่าย ๆ

น้ำหมักที่ใช้บำรุงพุทราน้ำอ้อยทำได้ง่าย ๆ ช่วงแรกที่ปลูกใหม่จะใช้น้ำหมักมูลวัวเพื่อเร่งการเจริญเติบโต เนื่องจากมีไนโตรเจนสูง ช่วยให้ดินมีจุลินทรีย์และต้นพุทราโตเร็ว วิธีทำคือนำมูลวัว 5 กิโลกรัม หรือประมาณ 1 ถัง ผสมกับน้ำ 100 ลิตร หมักทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ จากนั้นกรองเอาน้ำไปรดต้นไม้ได้เลย

เมื่อพุทรามีอายุได้ 4 - 5 เดือน จะเปลี่ยนมาใช้น้ำหมักมูลค้างคาวแทน เพราะมีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยในการเร่งดอกและทำให้รสชาติดีขึ้น

การเก็บเกี่ยวและการดูแลหลังการเก็บเกี่ยว

พุทราน้ำอ้อยจะติดดอกในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ระยะเวลาเก็บประมาณ 1 - 2 เดือน การเก็บเกี่ยวจะไล่เก็บเป็นแถว เลือกเก็บเฉพาะลูกที่แก่จัด สังเกตได้จากผลที่บานและมีขอบสีน้ำตาล ส่วนลูกที่ไม่สมบูรณ์ เช่น เบี้ยวหรือมีรอยหนอนเจาะ ควรเด็ดออก

การเก็บเกี่ยวควรทำในช่วงเช้า เพราะรสชาติจะฉ่ำและกรอบกว่าช่วงสาย ซึ่งผลจะเริ่มเหี่ยว พุทราน้ำอ้อยหนึ่งต้นให้ผลผลิตประมาณ 100 กิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท

หลังการเก็บเกี่ยว ต้องนำผลผลิตมาล้างทำความสะอาด เพื่อกำจัดเศษดอกและเกสรที่ติดมา ล้างด้วยน้ำสองครั้ง แล้วเช็ดให้แห้งเพื่อป้องกันการเน่าเสียระหว่างส่งให้ลูกค้า จากนั้นแพ็กถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาโลละ 100 บาท แช่เย็นเก็บได้นานถึง 1 อาทิตย์ แต่ถ้าไม่แช่จะอยู่ได้เพียง 2 - 3 วันเท่านั้น

เคล็ดลับในการรับประทานพุทราน้ำอ้อยให้อร่อยคือ หลังจากเก็บเสร็จให้นำไปใส่ตู้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง หรือใส่ในช่องแช่แข็งสัก 10 นาที เมื่อนำออกมารับประทานจะรู้สึกฉ่ำและชื่นใจมาก

การดูแลหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต

เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จในเดือนมีนาคม เกษตรกรจะตัดต้นทำสาว และงดให้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้แตกยอดใหม่ เนื่องจากหลังเก็บผลผลิตใบจะโทรม พุทราต่างจากไม้ผลชนิดอื่นตรงที่เมื่อตัดทำสาวเสร็จ จะแตกต้นใหม่และพร้อมให้ผลผลิตที่ดีกว่าเดิม ลูกจะใหญ่และใบจะสวยกว่าเดิม

เมื่อยอดใหม่ออกมา ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงเลี้ยงยอด พอได้ 3 - 4 เดือน ก็เตรียมใส่ปุ๋ยสะสมอาหารและขับเร่งดอกออก

ปัญหาและการแก้ไขในการปลูกพุทราน้ำอ้อย

ปัญหาหนึ่งของการปลูกพุทราน้ำอ้อยคือการขาดธาตุอาหาร เนื่องจากเป็นพุทราสายพันธุ์หวานที่ต้องการสารอาหารค่อนข้างมากกว่าพุทราทั่วไป ต้องหมั่นสังเกต หากพบว่าใบมีลักษณะลาย แสดงว่าขาดแมกนีเซียม ต้องรีบฉีดพ่นทางใบ ไม่เช่นนั้นลูกจะเล็ก

อีกปัญหาหนึ่งคือเมื่อได้รับน้ำฝนมากเกินไป หรือได้รับไนโตรเจนมากเกินไป พุทราจะสลัดลูก ทำให้ลูกเหี่ยว เหลือง และอาจเกิดเชื้อราตามมา กลายเป็นสีดำ ควรเก็บออกจากแปลงเพื่อป้องกันการระบาดไปยังผลอื่นๆ

แนวทางการแปรรูปและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพุทราน้ำอ้อย

นอกจากการรับประทานสดแล้ว พุทราน้ำอ้อยยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ตำพุทราผลไม้รวม ซึ่งเป็นส้มตำที่ใช้พุทราน้ำอ้อยแทนมะละกอ ให้รสชาติแปลกใหม่ หวานฉ่ำ อร่อย

นอกจากนี้ ยังสามารถทำเป็นพุทราน้ำอ้อยบ๊วย โดยนำพุทราน้ำอ้อยมาหั่นและปรุงรส ให้ได้รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม สดชื่น

ในอนาคตหากผลผลิตมีมากเกินความต้องการของตลาด เกษตรกรยังมีแผนที่จะแปรรูปเป็นพุทราเนื้อหนึบ พุทราอบแห้ง พุทราเชื่อม หรือพุทราแช่อิ่ม เพื่อเพิ่มมูลค่าและยืดอายุการเก็บรักษา

จากหนุ่มโรงงานสู่เกษตรกรผู้ปลูกพุทราน้ำอ้อย

เจ้าของสวนพุทราน้ำอ้อยเล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานในโรงงานที่บางปะอิน และมีอาชีพพันธุ์หม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับเครื่องขยายเสียงอยู่ประมาณ 15 ปี จนมีบ้าน มีรถ และมีเงินเหลือมาซื้อที่นาสำหรับทำเกษตร

การตัดสินใจกลับมาทำเกษตรเกิดจากความคิดที่ว่า อาชีพเดียวที่มั่นคงและอยู่ได้ยาวคืออาชีพเกษตร โดยเฉพาะหากเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น สงคราม สิ่งเดียวที่ต้องการคืออาหาร การทำเกษตรจึงเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับครอบครัว

ปัจจุบันเป็นเกษตรกรมา 4 ปีแล้ว สามารถสร้างงาน มีรายได้เลี้ยงครอบครัวตลอดทั้งปี และที่สำคัญคือการได้ผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ให้ลูกค้าได้ชิมและทาน ซึ่งเป็นความสุขที่ไม่ได้คำนึงถึงรายได้เพียงอย่างเดียว

สรุป

พุทราน้ำอ้อยเป็นผลไม้ที่น่าสนใจ ด้วยลักษณะพิเศษที่มีลูกโต เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ และมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำอ้อย ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด การปลูกพุทราน้ำอ้อยไม่ยุ่งยาก แต่ต้องมีการดูแลและให้ธาตุอาหารที่เพียงพอ สำหรับผู้ที่สนใจปลูกเป็นอาชีพ สามารถสร้างรายได้ที่ดีและมั่นคง

พุทราน้ำอ้อยไม่เพียงแต่รับประทานสดเท่านั้น ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและยืดอายุการเก็บรักษา นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรที่ต้องการความแปลกใหม่และตลาดที่แตกต่าง

ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live

ละครดี ซีรีส์เด่น

ดูทั้งหมด

♫ ♫ Songs Popular ♫ ♫

ดูทั้งหมด

คลิปมาใหม่

คนดูเยอะ 👀

ดูทั้งหมด

เสน่ห์ประเทศไทย