เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนี ได้เปิดฉากรุกรานโปแลนด์ ส่งผลให้ สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ประกาศสงครามต่อเยอรมนี และนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด แม้ว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีของสหราชอาณาจักรจะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามโดยตรง ไม่ได้เข้ามามีบทบาทในสงครามโดยตรงในสงคราม เพราะถือนโยบายไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งนอกประเทศ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งพันธมิตรในยุโรป โดยผ่านร่างกฎหมาย Cash and Carry ให้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสที่อยู่ในสงครามซื้ออาวุธสหรัฐฯ รับมือกับเยอรมนี
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปยิ่งเด่นชัดขึ้นหลังจากที่ ญี่ปุ่น โจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย การต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ยุทธการแห่งแอตแลนติก หรือ Battle of Atlantic ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อสงครามสิ้นสุดลงด้วยความปราชัยของเยอรมนีและญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาได้ช่วยยุโรปสร้างบ้านด้วยการให้เงินบูรณะยุโรปครั้งใหญ่ในรูปของ "แผนมาร์แชลล์" ที่มีงบประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปขยายขอบเขตจากเศรษฐกิจไปสู่ความมั่นคง โดยในวันที่ 4 เมษายน 1949 ชาติยุโรปได้จับมือกับสหรัฐอเมริกาตั้งองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เพื่อให้หลักประกันด้านความมั่นคงร่วมกันแก่ยุโรปในการต้านทานสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามยูเครนระเบิดขึ้น และการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยสหรัฐอเมริกาที่เคยประณามการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนกลับเปลี่ยนไปร่วมกับชาติที่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือ เบลารุส หรือรัสเซีย
ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาย่ำแย่ลงอีก เมื่อผู้นำสหรัฐอเมริกาและรองผู้นำมีปากเสียงกับผู้นำยูเครนกลางทำเนียบขาว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนของการเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่เป็นที่ยืนของผู้มีความเกรียงไกรทางด้านการทหารเท่านั้น ไม่ใช่คุณค่าสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมและธรรมาภิบาล
การกลับมาติดอาวุธของยุโรปที่เห็นในวันนี้เป็นภาพสะท้อนว่า ความสัมพันธ์แอตแลนติกกำลังสั่นคลอน โดยยุโรปต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด รอยร้าวระหว่างสองชาติแอตแลนติกกำลังกำหนดหมุดหมายใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะกำหนดอนาคตของโลกในหลายทศวรรษข้างหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในระเบียบโลกใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณค่าเสรีนิยมที่เคยผูกสองฝั่งแอตแลนติกเข้าด้วยกันกำลังถูกท้าทาย
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยืนยาวมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ โดยรอยร้าวที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อการกำหนดหมุดหมายใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่ไม่ได้ยึดมั่นในคุณค่าเสรีนิยม ความเท่าเทียม และธรรมาภิบาล แต่เป็นโลกที่ผู้มีอำนาจทางทหารเท่านั้นที่มีอิทธิพล ทั้งนี้ ความสัมพันธ์แอตแลนติกที่เคยแน่นแฟ้นจะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในโลกยุคใหม่ที่กำลังก่อรูปขึ้น
ติดตามได้ ในรายการ FLASHPOINT จุดร้อนโลก ตอน 2 ฝั่งแอตแลนติกร้าวสะเทือนโลก วันพุธที่ 12 มีนาคม 2568 เวลา 21.30 - 21.55 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนี ได้เปิดฉากรุกรานโปแลนด์ ส่งผลให้ สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ประกาศสงครามต่อเยอรมนี และนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด แม้ว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีของสหราชอาณาจักรจะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามโดยตรง ไม่ได้เข้ามามีบทบาทในสงครามโดยตรงในสงคราม เพราะถือนโยบายไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งนอกประเทศ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งพันธมิตรในยุโรป โดยผ่านร่างกฎหมาย Cash and Carry ให้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสที่อยู่ในสงครามซื้ออาวุธสหรัฐฯ รับมือกับเยอรมนี
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปยิ่งเด่นชัดขึ้นหลังจากที่ ญี่ปุ่น โจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย การต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ยุทธการแห่งแอตแลนติก หรือ Battle of Atlantic ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อสงครามสิ้นสุดลงด้วยความปราชัยของเยอรมนีและญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาได้ช่วยยุโรปสร้างบ้านด้วยการให้เงินบูรณะยุโรปครั้งใหญ่ในรูปของ "แผนมาร์แชลล์" ที่มีงบประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปขยายขอบเขตจากเศรษฐกิจไปสู่ความมั่นคง โดยในวันที่ 4 เมษายน 1949 ชาติยุโรปได้จับมือกับสหรัฐอเมริกาตั้งองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เพื่อให้หลักประกันด้านความมั่นคงร่วมกันแก่ยุโรปในการต้านทานสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามยูเครนระเบิดขึ้น และการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยสหรัฐอเมริกาที่เคยประณามการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนกลับเปลี่ยนไปร่วมกับชาติที่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือ เบลารุส หรือรัสเซีย
ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาย่ำแย่ลงอีก เมื่อผู้นำสหรัฐอเมริกาและรองผู้นำมีปากเสียงกับผู้นำยูเครนกลางทำเนียบขาว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนของการเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่เป็นที่ยืนของผู้มีความเกรียงไกรทางด้านการทหารเท่านั้น ไม่ใช่คุณค่าสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมและธรรมาภิบาล
การกลับมาติดอาวุธของยุโรปที่เห็นในวันนี้เป็นภาพสะท้อนว่า ความสัมพันธ์แอตแลนติกกำลังสั่นคลอน โดยยุโรปต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด รอยร้าวระหว่างสองชาติแอตแลนติกกำลังกำหนดหมุดหมายใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะกำหนดอนาคตของโลกในหลายทศวรรษข้างหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในระเบียบโลกใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณค่าเสรีนิยมที่เคยผูกสองฝั่งแอตแลนติกเข้าด้วยกันกำลังถูกท้าทาย
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยืนยาวมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ โดยรอยร้าวที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อการกำหนดหมุดหมายใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่ไม่ได้ยึดมั่นในคุณค่าเสรีนิยม ความเท่าเทียม และธรรมาภิบาล แต่เป็นโลกที่ผู้มีอำนาจทางทหารเท่านั้นที่มีอิทธิพล ทั้งนี้ ความสัมพันธ์แอตแลนติกที่เคยแน่นแฟ้นจะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในโลกยุคใหม่ที่กำลังก่อรูปขึ้น
ติดตามได้ ในรายการ FLASHPOINT จุดร้อนโลก ตอน 2 ฝั่งแอตแลนติกร้าวสะเทือนโลก วันพุธที่ 12 มีนาคม 2568 เวลา 21.30 - 21.55 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live