สาเหตุสำคัญที่ทำให้รถติด คือถนนในกรุงเทพฯ มีซอกซอยจำนวนมากแต่ไม่เชื่อมต่อกัน โดยที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไม่ถึง คนในกรุงเทพฯ จึงสะดวกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่า โดยมีข้อมูลว่าคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 70% เลือกที่จะใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง ปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ประกาศอย่างจริงจังว่าจะมีการจัดเก็บภาษีรถติดหรือค่าธรรมเนียมรถติด เพื่อแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ นอกจากนั้นรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้เองจะถูกนำไปช่วยส่งเสริมให้โครงการ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ เกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังเกิดคำถามที่ว่า เก็บภาษีรถติด แก้ปัญหาจราจรติดขัดได้จริงหรือ ? คุยประเด็นนี้กับดร.วิทย์ สิทธิเวคิน และคุณกัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ นักวิจัย จาก 101 PUB
ในการศึกษาแนวทางการนำ ภาษีรถติด มาใช้ในประเทศไทย รัฐบาลได้ทำการศึกษาโมเดลของหลายประเทศ ได้แก่:
1. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ - เก็บภาษีสำหรับรถที่เข้าสู่พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในอัตราประมาณ 800 บาทต่อวัน
2. มิลาน ประเทศอิตาลี - เก็บภาษีในลักษณะเดียวกับลอนดอน แต่อัตราต่ำกว่าที่ประมาณ 40 บาทต่อวัน
3. สิงคโปร์ - เก็บภาษีตามเขตพื้นที่และช่วงเวลา โดยมีอัตราแตกต่างกันไป
4. สวีเดน - เก็บภาษีตามระยะทางในพื้นที่ที่มีปัญหารถติดมาก
ทั้งนี้ ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มาตรการ ภาษีรถติด ประสบความสำเร็จ
สำหรับประเทศไทย ตอนนี้กำลังพิจารณาแนวทางการเก็บ ภาษีรถติด โดยมีแผนจะเก็บในพื้นที่ที่มีรถติดมากที่สุด ประมาณ 6 แยก และคาดว่าจะเก็บในอัตราประมาณ 40-50 บาท และอาจมีการปรับขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ เงินที่เก็บได้จะถูกนำไปใช้เป็นดอกเบี้ยในการระดมทุนเพื่อซื้อรถไฟฟ้ามาเป็นของรัฐ และจะมีการลงทุนในระบบ "ฟรีเดอร์" (ขนส่งสาธารณะระบบรอง) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังจุดหมายปลายทาง
แม้ว่าการเก็บ ภาษีรถติด จะเป็นแนวทางที่หลายประเทศประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังมีความท้าทายและปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เช่น
1. ปัญหาการเดินทางที่ไม่สะดวกของระบบขนส่งสาธารณะในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของความครอบคลุมพื้นที่ การเชื่อมต่อ และราคาค่าโดยสารที่ยังสูงเกินไป
2. การเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางของประชาชนจากการใช้รถส่วนตัวมาเป็นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งต้องใช้เวลาและการสร้างความเคยชิน
3. การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะทั้งหลัก (รถไฟฟ้า) และระบบรอง (ฟรีเดอร์) เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของประชาชน
ดังนั้น การเก็บ ภาษีรถติด จึงต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ สะดวก และราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกและเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางได้อย่างแท้จริง
การเก็บ ภาษีรถติด เป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณรถที่เข้าสู่พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ และนำเงินที่เก็บได้ไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย แม้จะเป็นแนวทางที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ เช่น ความพร้อมของระบบขนส่งสาธารณะ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางของประชาชน ซึ่งจะต้องมีการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้การนำ ภาษีรถติด มาใช้สามารถแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้อย่างแท้จริง
https://www.thaipbs.or.th/program/Economics101/episodes/105052
https://www.thaipbs.or.th/program/Economics101/episodes/105550
ติดตามชมช่วงเศรษฐกิจติดบ้าน ได้ในรายการวันใหม่วาไรตี้ วันจันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 8.00 - 10.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ www.thaipbs.or.th/Live
สาเหตุสำคัญที่ทำให้รถติด คือถนนในกรุงเทพฯ มีซอกซอยจำนวนมากแต่ไม่เชื่อมต่อกัน โดยที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไม่ถึง คนในกรุงเทพฯ จึงสะดวกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่า โดยมีข้อมูลว่าคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 70% เลือกที่จะใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง ปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ประกาศอย่างจริงจังว่าจะมีการจัดเก็บภาษีรถติดหรือค่าธรรมเนียมรถติด เพื่อแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ นอกจากนั้นรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้เองจะถูกนำไปช่วยส่งเสริมให้โครงการ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ เกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังเกิดคำถามที่ว่า เก็บภาษีรถติด แก้ปัญหาจราจรติดขัดได้จริงหรือ ? คุยประเด็นนี้กับดร.วิทย์ สิทธิเวคิน และคุณกัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ นักวิจัย จาก 101 PUB
ในการศึกษาแนวทางการนำ ภาษีรถติด มาใช้ในประเทศไทย รัฐบาลได้ทำการศึกษาโมเดลของหลายประเทศ ได้แก่:
1. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ - เก็บภาษีสำหรับรถที่เข้าสู่พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในอัตราประมาณ 800 บาทต่อวัน
2. มิลาน ประเทศอิตาลี - เก็บภาษีในลักษณะเดียวกับลอนดอน แต่อัตราต่ำกว่าที่ประมาณ 40 บาทต่อวัน
3. สิงคโปร์ - เก็บภาษีตามเขตพื้นที่และช่วงเวลา โดยมีอัตราแตกต่างกันไป
4. สวีเดน - เก็บภาษีตามระยะทางในพื้นที่ที่มีปัญหารถติดมาก
ทั้งนี้ ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มาตรการ ภาษีรถติด ประสบความสำเร็จ
สำหรับประเทศไทย ตอนนี้กำลังพิจารณาแนวทางการเก็บ ภาษีรถติด โดยมีแผนจะเก็บในพื้นที่ที่มีรถติดมากที่สุด ประมาณ 6 แยก และคาดว่าจะเก็บในอัตราประมาณ 40-50 บาท และอาจมีการปรับขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ เงินที่เก็บได้จะถูกนำไปใช้เป็นดอกเบี้ยในการระดมทุนเพื่อซื้อรถไฟฟ้ามาเป็นของรัฐ และจะมีการลงทุนในระบบ "ฟรีเดอร์" (ขนส่งสาธารณะระบบรอง) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังจุดหมายปลายทาง
แม้ว่าการเก็บ ภาษีรถติด จะเป็นแนวทางที่หลายประเทศประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังมีความท้าทายและปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เช่น
1. ปัญหาการเดินทางที่ไม่สะดวกของระบบขนส่งสาธารณะในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของความครอบคลุมพื้นที่ การเชื่อมต่อ และราคาค่าโดยสารที่ยังสูงเกินไป
2. การเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางของประชาชนจากการใช้รถส่วนตัวมาเป็นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งต้องใช้เวลาและการสร้างความเคยชิน
3. การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะทั้งหลัก (รถไฟฟ้า) และระบบรอง (ฟรีเดอร์) เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของประชาชน
ดังนั้น การเก็บ ภาษีรถติด จึงต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ สะดวก และราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกและเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางได้อย่างแท้จริง
การเก็บ ภาษีรถติด เป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณรถที่เข้าสู่พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ และนำเงินที่เก็บได้ไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย แม้จะเป็นแนวทางที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ เช่น ความพร้อมของระบบขนส่งสาธารณะ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางของประชาชน ซึ่งจะต้องมีการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้การนำ ภาษีรถติด มาใช้สามารถแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้อย่างแท้จริง
https://www.thaipbs.or.th/program/Economics101/episodes/105052
https://www.thaipbs.or.th/program/Economics101/episodes/105550
ติดตามชมช่วงเศรษฐกิจติดบ้าน ได้ในรายการวันใหม่วาไรตี้ วันจันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 8.00 - 10.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ www.thaipbs.or.th/Live