ใครว่าการทำงานแบบญี่ปุ่นต้องเคร่งเครียด? บริษัทแท็กซี่วีไอพีในโตเกียวกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า "ความสนุก" สามารถเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพได้! แนวคิดสุดล้ำของผู้จัดการบริษัทที่กลายเป็นเซเลบโซเชียลได้เปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรแบบเดิมๆ ด้วยการใช้ TikTok อย่างสร้างสรรค์ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่ผู้จัดการบริษัทแท็กซี่ตัดสินใจเริ่มเต้น TikTok เพื่อโปรโมตบริษัท โดยในช่วงแรกเขาลงคลิปทุกวันๆ แม้จะไม่มีคนดูมากนัก แต่หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งปี คลิปของเขาเริ่มได้รับความนิยม ทำให้มีคนรู้จักบริษัทมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ผู้จัดการเคยลองผลิตคอนเทนต์บนยูทูบ ซึ่งต้องใช้เวลาถ่ายประมาณ 10 นาที แต่ต้องใช้เวลาตัดต่อถึง 5-6 ชั่วโมง ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือมีคนดูแค่ประมาณ 2,000 คนเท่านั้น ตรงกันข้ามกับการเต้น TikTok ที่ทำให้คลิปของเขาดังเป็นพลุแตก แม้ไม่ใช่นักเต้นมืออาชีพ แต่ผู้จัดการก็พยายามหาวิดีโอที่เต้นง่ายๆ เพื่อลองทำตาม โดยเลือกสิ่งที่ตลกและสนุก การเต้น TikTok ที่ดูตลกของเขากลายเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะเนคไทสั้นที่กลายเป็นแบรนด์เนมของเขาไปโดยปริยาย เนื่องจากเป็นคนตัวใหญ่ ทำให้เนคไทมักดูสั้น ด้วยความที่เป็นจุดเด่น จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว
ทุกวันนี้คลิป TikTok ของผู้จัดการได้รับความนิยมมาก โดยคลิปที่มีคนดูมากที่สุดทะลุ 40 ล้านวิวแล้ว! เขายังเล่าอีกว่าทำติ๊กต็อกมานานถึง 5 ปีแล้ว โดยไม่เคยหยุด สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ชมคลิปมักคอมเมนต์ว่า "kawaii" (น่ารัก) ซึ่งทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้น ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับคำชมแบบนี้มาก่อน ความดังจาก TikTok ทำให้เขากลายเป็นคนดังในชีวิตจริงด้วย จนมีคนจำเขาได้เวลาออกไปกินข้าวนอกบ้าน หรือแม้แต่ทักท้วงเมื่อไม่ได้ใส่เนคไทสั้นออกมาพบปะผู้คน ก่อนหน้านี้ พนักงานในบริษัทรู้สึกกดดันกับระบบการทำงานแบบญี่ปุ่นที่เข้มงวด แต่เมื่อผู้จัดการเปลี่ยนคาแรคเตอร์มาเต้นแบบน่ารักๆ บรรยากาศในการทำงานก็เปลี่ยนไป
ปัจจุบันผู้จัดการกลายเป็นคนที่พนักงานทุกคนอยากเข้ามาพูดคุยด้วย มีการขอถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งขอจับท้อง ซึ่งต่างจากภาพผู้บริหารญี่ปุ่นแบบเดิมที่พนักงานมักไม่กล้าเข้าใกล้ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับธุรกิจแท็กซี่ช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สนใจอาชีพขับแท็กซี่มากขึ้น ซึ่งปกติแล้วคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นมักเป็นคนอายุมาก มีพนักงานหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า เขาไม่เคยรู้จักบริษัทนี้มาก่อน แต่เมื่อได้เห็นในติ๊กต็อกจึงตัดสินใจสมัครงาน
นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เลือกมาทำงานเพราะมองว่าบริษัทนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่บริษัทขนส่งธรรมดา แต่เป็นบริษัทที่ได้รับการขอบคุณจากลูกค้า มีการต้อนรับและดูแลลูกค้าอย่างดี ทำให้เป็นที่ประทับใจ ที่ไม่ใช่แค่การบริการแท็กซี่ทั่วไปแล้ว บริษัทยังมีบริการพิเศษที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น แท็กซี่เดอะโกสต์ (The Ghost) ที่พาไปเปิดประสบการณ์ดูสถานที่ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แท็กซี่นินจา และแท็กซี่บอดี้การ์ดที่มีการดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ บริษัทยังมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ อยู่เสมอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่สนใจมาร่วมงาน
แม้จะมีภาพลักษณ์ที่สนุกสนาน แต่บริษัทก็ยังคงรักษามาตรฐานการทำงานอย่างเคร่งครัด โดยมีการเช็กความพร้อมของพนักงานขับรถอย่างละเอียด ทั้งการตรวจวัดแอลกอฮอล์ การเช็กอุณหภูมิ และการอัปเดตข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางและกฎจราจร พนักงานมีการแชร์ข้อมูลกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎจราจรหรือจุดห้ามจอด ทำให้มีการอัปเดตความรู้อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การใช้โซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ผู้จัดการเคยกังวลว่าการทำคอนเทนต์แนวตลกอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท โดยเฉพาะการใช้ชื่อบริษัทในการทำคอนเทนต์ เพราะกลัวว่าภาพลักษณ์อาจจะตกได้ นอกจากนี้ เมื่อเขาพยายามลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น กลับมีแฟนคลับแสดงความเป็นห่วงว่าป่วยหรือไม่ จนต้องยอมอ้วนต่อไปตามที่แฟนๆ ชื่นชอบ
แล้วคุณล่ะ คิดว่ากลยุทธ์การตลาดแบบนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่นๆ ได้หรือไม่? การนำความสนุกสนานมาเป็นหัวใจของธุรกิจจะเป็นเทรนด์ใหม่ในอนาคตหรือเปล่า?
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru
ใครว่าการทำงานแบบญี่ปุ่นต้องเคร่งเครียด? บริษัทแท็กซี่วีไอพีในโตเกียวกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า "ความสนุก" สามารถเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพได้! แนวคิดสุดล้ำของผู้จัดการบริษัทที่กลายเป็นเซเลบโซเชียลได้เปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรแบบเดิมๆ ด้วยการใช้ TikTok อย่างสร้างสรรค์ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่ผู้จัดการบริษัทแท็กซี่ตัดสินใจเริ่มเต้น TikTok เพื่อโปรโมตบริษัท โดยในช่วงแรกเขาลงคลิปทุกวันๆ แม้จะไม่มีคนดูมากนัก แต่หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งปี คลิปของเขาเริ่มได้รับความนิยม ทำให้มีคนรู้จักบริษัทมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ผู้จัดการเคยลองผลิตคอนเทนต์บนยูทูบ ซึ่งต้องใช้เวลาถ่ายประมาณ 10 นาที แต่ต้องใช้เวลาตัดต่อถึง 5-6 ชั่วโมง ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือมีคนดูแค่ประมาณ 2,000 คนเท่านั้น ตรงกันข้ามกับการเต้น TikTok ที่ทำให้คลิปของเขาดังเป็นพลุแตก แม้ไม่ใช่นักเต้นมืออาชีพ แต่ผู้จัดการก็พยายามหาวิดีโอที่เต้นง่ายๆ เพื่อลองทำตาม โดยเลือกสิ่งที่ตลกและสนุก การเต้น TikTok ที่ดูตลกของเขากลายเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะเนคไทสั้นที่กลายเป็นแบรนด์เนมของเขาไปโดยปริยาย เนื่องจากเป็นคนตัวใหญ่ ทำให้เนคไทมักดูสั้น ด้วยความที่เป็นจุดเด่น จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว
ทุกวันนี้คลิป TikTok ของผู้จัดการได้รับความนิยมมาก โดยคลิปที่มีคนดูมากที่สุดทะลุ 40 ล้านวิวแล้ว! เขายังเล่าอีกว่าทำติ๊กต็อกมานานถึง 5 ปีแล้ว โดยไม่เคยหยุด สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ชมคลิปมักคอมเมนต์ว่า "kawaii" (น่ารัก) ซึ่งทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้น ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับคำชมแบบนี้มาก่อน ความดังจาก TikTok ทำให้เขากลายเป็นคนดังในชีวิตจริงด้วย จนมีคนจำเขาได้เวลาออกไปกินข้าวนอกบ้าน หรือแม้แต่ทักท้วงเมื่อไม่ได้ใส่เนคไทสั้นออกมาพบปะผู้คน ก่อนหน้านี้ พนักงานในบริษัทรู้สึกกดดันกับระบบการทำงานแบบญี่ปุ่นที่เข้มงวด แต่เมื่อผู้จัดการเปลี่ยนคาแรคเตอร์มาเต้นแบบน่ารักๆ บรรยากาศในการทำงานก็เปลี่ยนไป
ปัจจุบันผู้จัดการกลายเป็นคนที่พนักงานทุกคนอยากเข้ามาพูดคุยด้วย มีการขอถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งขอจับท้อง ซึ่งต่างจากภาพผู้บริหารญี่ปุ่นแบบเดิมที่พนักงานมักไม่กล้าเข้าใกล้ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับธุรกิจแท็กซี่ช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้สนใจอาชีพขับแท็กซี่มากขึ้น ซึ่งปกติแล้วคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นมักเป็นคนอายุมาก มีพนักงานหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า เขาไม่เคยรู้จักบริษัทนี้มาก่อน แต่เมื่อได้เห็นในติ๊กต็อกจึงตัดสินใจสมัครงาน
นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เลือกมาทำงานเพราะมองว่าบริษัทนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่บริษัทขนส่งธรรมดา แต่เป็นบริษัทที่ได้รับการขอบคุณจากลูกค้า มีการต้อนรับและดูแลลูกค้าอย่างดี ทำให้เป็นที่ประทับใจ ที่ไม่ใช่แค่การบริการแท็กซี่ทั่วไปแล้ว บริษัทยังมีบริการพิเศษที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น แท็กซี่เดอะโกสต์ (The Ghost) ที่พาไปเปิดประสบการณ์ดูสถานที่ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แท็กซี่นินจา และแท็กซี่บอดี้การ์ดที่มีการดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ บริษัทยังมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ อยู่เสมอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่สนใจมาร่วมงาน
แม้จะมีภาพลักษณ์ที่สนุกสนาน แต่บริษัทก็ยังคงรักษามาตรฐานการทำงานอย่างเคร่งครัด โดยมีการเช็กความพร้อมของพนักงานขับรถอย่างละเอียด ทั้งการตรวจวัดแอลกอฮอล์ การเช็กอุณหภูมิ และการอัปเดตข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางและกฎจราจร พนักงานมีการแชร์ข้อมูลกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎจราจรหรือจุดห้ามจอด ทำให้มีการอัปเดตความรู้อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การใช้โซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ผู้จัดการเคยกังวลว่าการทำคอนเทนต์แนวตลกอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท โดยเฉพาะการใช้ชื่อบริษัทในการทำคอนเทนต์ เพราะกลัวว่าภาพลักษณ์อาจจะตกได้ นอกจากนี้ เมื่อเขาพยายามลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น กลับมีแฟนคลับแสดงความเป็นห่วงว่าป่วยหรือไม่ จนต้องยอมอ้วนต่อไปตามที่แฟนๆ ชื่นชอบ
แล้วคุณล่ะ คิดว่ากลยุทธ์การตลาดแบบนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่นๆ ได้หรือไม่? การนำความสนุกสนานมาเป็นหัวใจของธุรกิจจะเป็นเทรนด์ใหม่ในอนาคตหรือเปล่า?
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru