MDlight Nasal Spray สเปรย์กระชายขาวฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19

"MDlight Nasal Spray" สเปรย์กระชายขาวฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 นวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยฆ่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้ 100% และเป็นอาวุธสู้กับไวรัสตัวอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นโรคอุบัติใหม่ในอนาคตได้

ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล สมาคมวิศวกรรมชีวการแพทย์ไทย เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้ ได้เปิดเผยถึงการค้นพบใหม่ โดยใช้ซิลเวอร์นาโน (Silver Nano) ที่สังเคราะห์ทางชีวภาพโดยใช้สมุนไพรเป็นตัวปลดปล่อย (Relesing agent) ในการไปเติมอิเล็กตรอนให้กับตัวซิลเวอร์ไนเตรท (Silver Nitrate) เป็นเกลือเงิน ทำให้แตกตัวออกมาเป็นอนุภาคเงิน ซึ่งมีขนาดเล็กมากประมาณสัก 20-40 นาโนเมตร เท่านั้น

สำหรับอนุภาคเล็ก ๆ ขนาดนี้ เมื่อถูกเคลือบด้วยสมุนไพร จะทำให้มีพื้นที่ผิวมากขึ้นในการที่จะไปทำให้มีปฏิกิริยาในการฆ่าเชื้อ

"เราพบว่าด้วยอนุภาคเล็กขนาดนี้ สามารถแทรกซึมเข้าไปในตัวไวรัสได้ โดยไวรัสมีขนาดประมาณ 100 นาโนเมตร แต่ตัวนี้มี 20-30 นาโนเมตร เท่านั้น"

จากนั้น เมื่อเข้าไปในร่างกายก็นำพาเอาส่วนที่เป็นสมุนไพรกระชายขาว ทำให้สามารถฆ่าเชื้่อไวรัสได้ โดยพบว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ก็สามารถฆ่าเชื้่อ SARS-CoV-2 ได้ 100%

งานวิจัยนี้ ได้ทดลองกับผู้ป่วยที่เป็นโควิด-19 ที่มีอาการน้อย ๆ สามารถลดปริมาณของเชื้อไวรัสนี้ได้

"1 ปีก่อนที่จะมีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด -19 ผลิตขึ้นมา บนโลกใบนี้ยังไม่มีอาวุธใด ๆ ที่จะไปต่อสู้โรคดังกล่าวได้เลย แต่ขณะนี้ พบว่า สเปรย์กระชายขาวตัวนี้ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญ ในการเป็นอาวุธที่จะไปกำจัดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือเชื้อโควิด-19 รวมไปถึงไวรัสตัวอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นโรคอุบัติใหม่ในอนาคตได้"

ศ.นพ.สมเกียรติ ระบุด้วยว่า นอกจากจะฆ่าเชื้อ SARS-CoV-2 ได้แล้วนั้น ยังสามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำการทดลอง เพราะเท่าที่ทำไวรัสมา 2-3 ตัวก็พบว่าฆ่าเชื้อได้เช่นกัน รวมไปถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ปริมาณแค่ 1 มิลลิกรัมต่อลิตรเท่านั้น

"ตัวนี้ ไม่ได้มาแทนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่เพียงแค่ฆ่าเชื้อไวรัสเท่านั้น เป็นการฆ่าเชื้อโดยตรง"

จากที่ได้ทำการทดลองนั้น ฉีดพ่นสเปรย์กระชายขาวนี้ เข้าไปในโพรงจมูก 3 Puff (การฉีดพ่น 1 ครั้ง ต่อการสูดหายใจ 1 ครั้ง)

เมื่อผ่านการทดลองแล้ว จะเข้ากระบวนการผลิตต้องผ่านมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ตามเงื่อนไขที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. กำหนด จากนั้น จึงจะสามารถผลิตออกมาจำหน่ายได้ ซึ่งตรงนี้เวลาที่ใช้สมุนไพรไทย ต้องที่มาของสมุนไพรนี่มาจากไหนด้วย ซึ่งตรงนี้จะค่อนข้างลำบากมาก เนื่องจากนักวิจัยไม่สามารถที่จะไปทำกระบวนการเพื่อได้สารสกัดที่ได้ GMP ทำให้นักวิจัยต้องไปหาบริษัทที่ทำมาแล้ว และผ่านกระบวนการ GMP มาเรียบร้อยแล้ว โดยไปต่อยอดจากตรงนั้นแทน

ท้ายที่สุดนี้ ศ.นพ.สมเกียรติ ฝากถึงหน่วยงานภาครัฐด้วยว่า อยากให้ทางฝ่ายที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแล อย่าง อย. และแหล่งที่ให้ทุนวิจัย เข้าใจว่ากระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถที่จะพัฒนาด้วยฝีมือของคนไทยได้ และอยากให้ อย. เข้ามาช่วยในการทำอย่างไรให้ยา หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผ่านการขึ้นทะเบียนของ อย. แล้ว ทำให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย ในราคาที่ถูก