สำนักข่าว Mizzima รายงานว่า ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในเมืองทวาย ทางภาคใต้ของประเทศพม่ากำลังพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่ดินในตัวเมืองทวายบางแห่งนั้นมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านจั๊ต หลังโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายจะก่อสร้างในพื้นที่
ขณะที่พบว่า ที่ดินที่มีราคาแพงที่สุดตั้งอยู่บนถนนอาซาร์นี ในตัวเมืองทวาย เนื่องจากมีหลายธนาคารเอกชนได้เปิดสาขาย่อยบนถนนสายนี้ โดยนักธุรกิจในพื้นที่ยังเผยว่า เหตุที่ราคาที่ดินในเมืองทวายนั้นราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เพราะยังมีหลายบริษัทนักลงทุนเตรียมเข้ามาสร้างโรงแรมและสำงานย่อยในเมืองทวาย
ขณะที่ชาวบ้านเปิดเผยว่า แม้ที่ดินบางแห่งนั้นจะมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านจั๊ต แต่ก็ยังมีนักธุรกิจที่ต้องการครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว เหมือนเช่นบริษัทแม็กซ์ เมียนมาร์ (Max Myanmar Company) ที่เพิ่งยอมควักเงินหลายร้อยล้านจั๊ตซื้อที่ดินในตัวเมืองทวายเมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้ ชาวบ้านเปิดเผยว่า ราคาที่ดินในเมืองเริ่มขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการคาดการณ์กันว่า จะมีการก่อสร้างโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย หลายคนจึงรีบซื้อที่ดินหวังเกรงกำไร แต่ในเวลาต่อมาราคาที่ดินกลับมีราคาต่ำลงและคงที่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด หลังการเยือนของนายติ่น อ่อง มิ้น อู รองประธานาธิบดี ทำให้ราคาที่ดินกลับขยับสูงขึ้นอีกครั้ง
ด้านนายติ่น อ่อง มิ้น อู ระหว่างเยือนเมืองทวาย ได้ขอให้ทุกฝ่ายให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งโครงการนี้มีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)ของไทยได้รับสัมปทานและเข้าไปก่อสร้าง โดยโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายประกอบด้วยการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย โรงงานอุตสาหกรรมหนักและการก่อสร้างถนนจากทวายเชื่อมจังหวัดกาญจนบุรีของไทย ซึ่งคาดว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายนั้นจะใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดถึง 8 เท่า
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่เมืองทวายบางส่วนเริ่มได้รับผลกระทบจากโครงการนี้แล้ว โดยเฉพาะการถูกยึดที่ดิน ไร่นาไปทำโครงการนี้ ขณะที่เชื่อว่า การเข้าไปลงทุนของบริษัทไทยและนักลงทุนในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายนี้ จะทำให้ชาวบ้านในเมืองทวายราว 23,120 คน จาก 18 หมู่บ้านต้องถูกโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น และไร้ที่ทำกิน
อหิวาตกโรคระบาดในค่ายผู้ลี้ภัยรัฐคะฉิ่น
หน่วยงานบรรเทาทุกข์ชาวคะฉิ่นเปิดเผยว่า ขณะนี้มีเด็กและคนชราในค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะฉิ่นตามชายแดนรัฐคะฉิ่น – จีน กำลังเผชิญกับอหิวาตกโรคระบาด สาเหตมาจากดื่มกินน้ำที่ไม่สะอาด ล่าสุดพบมีเด็กกว่า 30 รายกำลังป่วยเป็นโรคนี้ และมีเด็ก 1 รายที่เสียชีวิต
ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยคะฉิ่นอีก 3 แห่ง ทั้งในเมืองมังซี เมืองปาเจาและเมืองไวหม่อก็กำลังประสบกับปัญหาเดียวกัน สาเหตุคือไม่มีน้ำดื่มสะอาด และเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสะอาดยาก เนื่องจากค่ายผูู้ลี้ภัยตั้งอยู่บนภูเขา รวมทั้งไม่มีห้องสุขาที่ถูกสุขอนามัยเพียงพอ แม้แต่ผู้ลี้ภัยชาวคะฉิ่นในเมืองรุ่นลี่ ฝั่งจีนก็ประสบกับปัญหาอหิวาตกโรคเช่นเดียวกัน
ตามรายงานของคณะกรรมการบรรเทาทุกข์ผู้ลี้ภัยคะฉิ่น(the Kachin refugees’ relief committee) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีค่ายผู้ลี้ภัยคะฉิ่นในประเทศจียมีอยู่จำนวน 19 แห่ง และในรัฐคะฉิ่นอีก 40 แห่ง ซึ่งตัวเลขผู้ลี้ภัยจากสงครามในรัฐคะฉิ่นพุ่งเป็น 44,000 คนแล้ว โดยค่ายผู็ลี้ภัยเหล่านี้ได้รับการประสานงานและความช่วยเหลือด้านอาหารและยาจากกองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Organization – KIO) จากชาวพม่าทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นด้านศาสนาและด้านสังคม
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า จนถึงขณะนี้รัฐบาลพม่ายังไม่อนุญาตให้หน่วยงานสากลใหญ่ๆเข้าไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยคะฉิ่น ขณะที่มีรายงานว่า ผู้ลี้ภัยกำลังขาดแคลนอาหาร ที่พัก เสื้อผ้า เต้นท์ และยารักษาโรค ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรัฐคะฉิ่นล่าสุด ก็ยังไม่มีสัญญาณว่า รัฐบาลพม่าและกองทัพคะฉิ่นจะสามารถตกลงและยุติสงครามได้ในเร็ววันนี้ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวไทใหญ่ได้ออกมารายงานว่า ทางกองทัพพม่าเริ่มถอนกำลังออกจากเขตควบคุมของทหารคะฉิ่นที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของรัฐฉานแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ ชาวบ้านก็ยังไม่กล่้าเดินทางกลับบ้าน เพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์