เตรียมรับแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวัน
กระแสการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวันไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีในประเทศอาเซียนด้วย โดยแรงงานอุตสากรรมเสื้อผ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในกัมพูชา ได้ออกมาประท้วงขึ้นค่าแรงในปี 2557 จนทำให้รัฐบาลปรับขึ้นเงินค่าแรงร้อยละ 28 ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการชุมนุมประท้วงขอปรับขึ้นค่าจ้างในปี 2557 เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลกำหนดปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพียงร้อยละ 11 ในปี 2558 ภายหลังรัฐบาลประกาศขึ้นราคาเชื้อเพลิงร้อยละ 30 ตามนโนบายลดการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง ส่วนประเทศลาวนั้นตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2558 รัฐบาลเตรียมปรับขึ้นเงินเดือนให้ถึงร้อยละ 43.8 และหากต้องทำงานที่เสี่ยงต่อสุขภาพ หรืออันตราย รัฐบาลจะเพิ่มให้อีกร้อยละ 15 เนื่องจากเป็นกังวลถึงปัญหาแรงงานขาดแคลน
สำหรับแนวคิดการใช้แรงงานราคาถูก ต้นทุนต่ำ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาตลอดหลายปีนั้นกำลังจะหมดไป เพราะกระแสการเรียกร้องขึ้นค่าแรงในอาเซียนกำลังขยายตัวเรื่อยๆ ซึ่งแนวทางการปรับตัวต่อสถานการณ์การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอนาคต คือการขึ้นราคาสินค้า, การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง, เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, การนำเทคโนโลยีช่วยการผลิตเพื่อลดต้นทุน
ทั้งนี้ ผลงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าการส่งเสริมวิสาหกิจที่มีการเติบโตสูง (High Growth Entrepreneurs) สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มโดยเฉพาะการสร้างงานใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ค่าตอบแทนสูงแก่ภาคแรงงาน และเป็นตัวเร่งการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่จะต้องเป็นนโยบายเฉพาะด้านนอกเหนือจากนโยบายส่งเสริมเอสเอ็มอีทั่วไป
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย พิจารณาจากมูลค่า GDP ของเอสเอ็มอี, การจ้างงาน, รายได้ผลประกอบการ และนโยบายของภาครัฐ มีประมาณ 12 กลุ่ม เช่น กลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจการบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจสมุนไพรและเครื่องสำอาง และธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ในอนาคตต้องรอคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วยนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ พิจารณาอีกครั้งว่าจะปรับขึ้นอัตราค่าจ้างรายวันใหม่ได้เท่าไหร่ เนื่องจากไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าแรงมา 3 ปีแล้ว