ไทยพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเมียนมา-ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเกือบ 50 คน
นอกจากนี้พื้นที่เกษตรรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนนและสะพานได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งระดับน้ำท่วมเป็นอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยในการลำเลียงความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัยที่มีมากกว่า 2 แสนคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่กระทรวงการเกษตรและชลประทานของเมียนมารายงานว่า มีพื้นที่เกษตรกรรมมากกว่า 2.5 ล้านไร่ ได้รับความเสียหาย ล่าสุดเจ้าหน้าที่ของทางการเมียนมา เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 47 คน ซึ่งองค์การสหประชาชาติ เชื่อว่าผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจะเพิ่มขึ้นกว่านี้ หลังจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถเข้าถึงผู้ประสบภัยซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างทั่วถึง
ขณะที่พลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมา เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยหลายแห่ง พร้อมประกาศให้คำมั่นว่าทางการเมียนมาจะเร่งช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มความสามารถ
โฆษกประจำสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติระบุว่า องค์การสหประชาชาติกังวลต่อสถานการณ์ในครั้งนี้อย่างมาก และคณะประเมินสถานการณ์ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ เนื่องจากเส้นทางสัญจรถูกตัดขาดเกือบทั้งหมด และแม้ว่าระดับน้ำจะเริ่มลดลงบ้างแล้วในบางพื้นที่ แต่ระดับน้ำแม่น้ำอีกหลายสายยังคงเพิ่มขึ้นจนไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่อื่นๆ เพิ่ม
ด้าน พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาต่อเหตุการณ์ดังกล่าวในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 48 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป
ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบ 4 พื้นที่ในประเทศเมียนมา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2558 ได้แก่ ภาคสะกาย ภาคมะกวย รัฐชิน และรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นผลจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2558 โดยเฉพาะอิทธิพลจากพายุโกเมนในอ่าวเบงกอล นอกจากนี้ สถานการณ์น้ำท่วมยังคงเกิดขึ้นในรัฐคะฉิ่น รัฐกะเหรี่ยง รัฐฉาน ภาคอิระวดี และภาคพะโค
เบื้องต้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้งได้ตรวจสอบแล้วว่า ยังไม่มีรายงานคนไทยในเมียนมาร์ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป