ชาวนา จ.พระนครศรีอยุธยา ขอสูบน้ำทำนาต่อ
จิราพร คำภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส รายงานจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า หลังจากที่มติคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ชาวนาหยุดสูบน้ำทำนา เพื่อสำรองน้ำไว้สำหรับอุปโภคบริโภคเท่านั้น ส่งผลให้ขณะนี้ชาวนาในภาคกลางกังวลใจว่าข้าวจะยืนต้นตาย วันนี้ (20 ก.ค.2558) ตัวแทนชาวนา 16 อำเภอ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อขอสูบน้ำทำนาต่อ
วันนี้ ตัวแทนชาวนาใน 16 อำเภอ จ.พระนครศรีอยุธยา เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อที่จะยื่นหนังสือให้กับนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากที่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมติคณะรัฐมนตรีที่จะให้หยุดสูบน้ำในช่วงนี้ ตัวแทนชาวนาให้เหตุผลว่าข้าวกำลังตั้งท้องออกรวง และหากขาดน้ำในช่วงนี้ข้าวจะทยอยยืนต้นตายทั้งหมดและภาระหนี้สินก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ขณะนี้ข้าวต้องการใช้น้ำเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น และหากกรมชลประทานจะหยุดการระบายน้ำควรกำหนดพื้นที่ห้ามสูบให้ชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง
ขณะที่สภาเกษตร จ.พระนครศรีอยุธยา อยากให้ระบายน้ำมาช่วยในพื้นที่ของ อ.ผักไห่, อ.เสนา, อ.บางบาล, อ.บางซ้าย และ อ.ลาดบัวหลวง เพราะว่าในเขตพื้นที่ 4 อำเภอมีข้าวที่กำลังตั้งท้องออกรวงหลายหมื่นไร่ ที่ผ่านมาชาวนาบอกว่าก่อนที่จะห้ามให้หยุดสูบน้ำไม่ได้มีการพูดคุยหรือทำความเข้าใจ จึงอยากให้มีการกำหนดกรอบเยียวยาที่เป็นธรรมกับชาวนาทุกคน หลังจากที่มีการยื่นหนังสือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในวันนี้ ชาวนาจะกลับมาทวงถามความคืบหน้าอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งพวกเขาคาดหวังว่ารัฐบาลจะต้องมีคำตอบว่าจะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไร
ขณะนี้กรมชลประทานได้มีการลดการระบายน้ำใน 2 เขื่อนหลัก คือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจากเดิมระบายอยู่ที่ 28 ล้านลูกบาศก์เมตรให้ลดลงเหลือเพียง 18 ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำจำนวนนี้จะใช้ได้เพียง 28 วันหลังจากนี้ไป ซึ่งหากข้าวนาปีใน จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องขาดน้ำอีก 28 วัน ชาวนายืนยันตรงกันว่าข้าวทั้งหมดจะทยอยยืนต้นตาย และสิ่งที่สำคัญรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ชาวนาจึงเรียกร้องว่าถ้าหากรัฐบาลจะมาชดเชยค่าเยียวยาตรงนี้ก็ควรที่จะนำน้ำมาให้ชาวนา เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ข้าวยืนต้นตายดีกว่า ซึ่งจะช่วยลดภาระรัฐบาลลงอย่างมาก