สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (พระนามเดิม : ฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ) ทรงเป็นผู้นำศาสนาที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก ไม่เฉพาะชาวคาทอลิก ด้วยพระจริยวัตรที่เรียบง่าย ความมุ่งมั่นในการปฏิรูปคริสตจักร และการอุทิศตนเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาและความหวัง ต่อไปนี้คือ 10 เรื่องน่ารู้ที่เจาะลึกถึงพระกรณียกิจและมรดกของพระองค์
1. พระสันตะปาปาองค์แรกจากละตินอเมริกา
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสประสูติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.1936 ในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาลีที่บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา พระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาในวันที่ 13 มี.ค.2013 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 1,200 ปีของคริสตจักรคาทอลิกที่มีผู้นำจากซีกโลกใต้และละตินอเมริกา
การเลือกพระองค์สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในคริสตจักร ซึ่งเดิมมีศูนย์กลางอยู่ที่ยุโรป พระองค์ทรงนำมุมมองใหม่จากประสบการณ์การทำงานในชุมชนยากจนของอาร์เจนตินา และทรงเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายในศาสนาคริสต์คาทอลิกทั่วโลก การขึ้นดำรงตำแหน่งของพระองค์ได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะจากกลุ่มที่หวังเห็นคริสตจักรที่ทันสมัยและครอบคลุมมากขึ้น

2. ความสมถะอันเป็นเอกลักษณ์
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเป็นที่รู้จักจากความถ่อมตนและความเรียบง่ายที่ไม่เหมือนใคร ทรงปฏิเสธการประทับในพระราชวังอัครสาวกอันหรูหรา ซึ่งเป็นที่พำนักของพระสันตะปาปามานานหลายศตวรรษ และเลือกพำนักในบ้านพักรับรองซานตามาร์ธา ซึ่งเป็นที่พักขนาดเล็กสำหรับแขกของวาติกัน พระองค์ทรงใช้รถยนต์ขนาดเล็ก เช่น รถยนต์อีโคคาร์ หรือรถฟอร์ดโฟกัส แทนยานพาหนะหรูหราที่เคยเป็นประเพณี
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงปฏิเสธเครื่องแต่งกายที่ฟุ่มเฟือย โดยเลือกสวมชุดเรียบง่ายและทรงสวมรองเท้าหนังสีดำเก่าแทนรองเท้าสีแดงตามประเพณี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศไทยในปี 2019 พระองค์ทรงใช้ "โป๊ปโมบิล" ที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย และทรงแสดงความใกล้ชิดกับประชาชนด้วยการจับมือและทักทายอย่างเป็นกันเอง ความสมถะนี้ทำให้พระองค์เป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก
3. ผู้ปฏิรูปคริสตจักร
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงมุ่งมั่นปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิกให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความท้าทายในศตวรรษที่ 21 พระองค์ทรงแต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งบริหารในสมณสภาปกครองโรมัน (Roman Curia) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เช่น การแต่งตั้งซิสเตอร์นาตาลี เบคควอร์ต เป็นเลขาธิการของสมณสภาในปี 2020 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมบทบาทสตรีในคริสตจักร
นอกจากนี้ พระองค์ทรงจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในคริสตจักรด้วยการออกกฎหมายใหม่ในปี 2019 ที่กำหนดให้มีการรายงานกรณีล่วงละเมิดและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปของพระองค์เผชิญทั้งการสนับสนุนและการต่อต้าน โดยฝ่ายอนุรักษนิยมมองว่าพระองค์ทรงก้าวหน้าเกินไป ขณะที่ฝ่ายก้าวหน้ามองว่าการเปลี่ยนแปลงยังไม่เพียงพอ การยืนหยัดของพระองค์แสดงถึงความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับโครงสร้างที่ยึดติดกับประเพณี

4. ผู้สนับสนุนสิ่งแวดล้อม
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเป็นผู้นำศาสนาคนสำคัญที่ให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2015 พระองค์ทรงออกสารตราสมเด็จพระสันตะปาปา Laudato Si’ ซึ่งเรียกร้องให้มนุษยชาติปกป้อง "บ้านร่วมของเรา" จากการทำลายสิ่งแวดล้อม และวิพากษ์บริโภคนิยมที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของโลก สารตรานี้ได้รับการยกย่องจากนักวิทยาศาสตร์และผู้นำโลกว่าเป็นเอกสารสำคัญที่เชื่อมโยงศาสนากับวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงกำหนดให้วันที่ 1 ก.ย.ของทุกปีเป็น "วันอธิษฐานเพื่อสิ่งแวดล้อม" เพื่อกระตุ้นให้ศาสนิกชนตระหนักถึงหน้าที่ในการดูแลโลก
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพบปะผู้นำโลก เช่น ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2017 เพื่อผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การอุทิศตนในประเด็นนี้ทำให้พระองค์เป็นที่ยอมรับในฐานะ "พระสันตะปาปาเขียว"
5. ความเห็นอกเห็นใจต่อความหลากหลายทางเพศ
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงแสดงจุดยืนที่ก้าวหน้าเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใดในอดีต ในสารคดี Francesco (2020) พระองค์ตรัสว่า "คนรักเพศเดียวกันมีสิทธิที่จะมีครอบครัว พวกเขาควรได้รับการปกป้องด้วยกฎหมายคู่ชีวิต" คำกล่าวนี้สร้างความฮือฮาและได้รับการยกย่องจากชุมชน LGBTQ+ ทั่วโลก แม้ว่าพระองค์จะยึดมั่นในคำสอนคาทอลิกที่ไม่ยอมรับการสมรสเพศเดียวกัน แต่พระองค์ทรงเน้นความรักและการยอมรับมากกว่าการตีตราหรือกีดกัน
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพบปะบุคคลข้ามเพศและกลุ่ม LGBTQ+ ในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงความเมตตาและการไม่แบ่งแยก จุดยืนนี้ทำให้พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความหวังสำหรับกลุ่มที่เคยถูกคริสตจักรปฏิเสธ
6. ผู้ริเริ่ม "ปีแห่งความเมตตา"
ในเดือน ธ.ค.2015 พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงประกาศให้ปี 2016 เป็น "ปีศักดิ์สิทธิ์พิเศษแห่งความเมตตา" (Jubilee of Mercy) เพื่อส่งเสริมให้คริสตจักรและศาสนิกชนทั่วโลกแสดงความเมตตา การให้อภัย และความรักต่อเพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงเปิด "ประตูศักดิ์สิทธิ์" ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรในนครวาติกัน และสั่งให้ทุกสังฆมณฑลทั่วโลกจัดตั้งสถานที่แสวงบุญเพื่อให้ผู้คนสามารถขออภัยบาปและแสดงความเมตตาได้
โครงการนี้รวมถึงการส่ง "มิชชันนารีแห่งความเมตตา" ซึ่งเป็นนักบวชที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้การอภัยบาปและคำแนะนำทางจิตวิญญาณ พระองค์ทรงเน้นว่าความเมตตาคือหัวใจของคำสอนคริสต์ และทรงเรียกร้องให้คริสตจักรเป็นสถานที่ต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง ปีแห่งความเมตตานี้ดึงดูดผู้แสวงบุญหลายล้านคนจากทั่วโลก และกลายเป็นหนึ่งในมรดกสำคัญของพระองค์

7. การสนับสนุนผู้อพยพและผู้ลี้ภัย
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังในการปกป้องผู้อพยพและผู้ลี้ภัย โดยทรงเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เปิดรับผู้ที่หนีภัยสงคราม ความยากจน และการกดขี่ ในปี 2016 พระองค์เสด็จเยือนค่ายผู้ลี้ภัยบนเกาะเลสบอส ประเทศกรีซ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตผู้อพยพในยุโรป พระองค์ทรงพบปะผู้ลี้ภัยและทรงนำครอบครัวมุสลิม 12 คนจากซีเรียกลับไปยังนครวาติกันเพื่อมอบที่พักพิงและโอกาสใหม่
การกระทำนี้เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสะพานแห่งความเข้าใจข้ามศาสนาและวัฒนธรรม พระองค์ยังทรงวิพากษ์นโยบายที่ปิดกั้นผู้อพยพ และทรงเรียกร้องให้คริสตจักรและชุมชนท้องถิ่นช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ความทุ่มเทของพระองค์ในประเด็นนี้ทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
8. ความสนใจในกีฬาและวัฒนธรรมป๊อป
ก่อนบวชเป็นนักบวช พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง โดยเฉพาะสโมสรซานโลเรนโซแห่งบัวโนสไอเรส ซึ่งพระองค์ยังคงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์และติดตามผลการแข่งขันอยู่บ้าง พระองค์ทรงมองว่ากีฬาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสามัคคีและมิตรภาพระหว่างผู้คนจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงชื่นชอบวัฒนธรรมสมัยนิยม ทรงโปรดฟังเพลงคลาสสิก เช่น ผลงานของโมสาร์ทและบีโธเฟน และทรงชื่นชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์อิตาลีคลาสสิกอย่าง La Strada ของเฟเดริโก เฟลลินี และ Babette’s Feast ซึ่งทรงกล่าวว่าเป็นภาพยนตร์ที่สอนถึงความรักและการเสียสละ ความสนใจเหล่านี้ทำให้พระองค์เป็นผู้นำที่เข้าถึงได้และมีมนุษยธรรมในสายตาของสาธารณชน
9. การต่อสู้กับความยากจน
พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงอุทิศพระองค์เพื่อต่อสู้กับความยากจนและความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ในสารตราสมเด็จพระสันตะปาปา Evangelii Gaudium (2013) พระองค์ทรงวิพากษ์ระบบทุนนิยมที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ โดยตรัสว่า "ความยากจนเป็นเรื่องอื้อฉาวที่คริสตจักรต้องจัดการ"
พระองค์ทรงเรียกร้องให้คริสตจักรเป็น "คริสตจักรของคนยากจน" และทรงดำเนินโครงการช่วยเหลือในนครวาติกัน เช่น การจัดตั้งที่พักพิงสำหรับคนไร้บ้าน สถานที่อาบน้ำฟรี และบริการตัดผมใกล้มหาวิหารนักบุญเปโตร พระองค์ยังทรงพบปะและรับประทานอาหารกับคนยากจนในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คริสตจักรทั่วโลกให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

10. เผชิญปัญหาสุขภาพด้วยความเข้มแข็ง
ตลอดรัชสมัย พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเผชิญปัญหาสุขภาพหลายครั้ง แต่ทรงแสดงถึงความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นที่น่าทึ่ง ในวัยเยาว์ พระองค์ทรงป่วยด้วยโรคปอดรุนแรงจนต้องตัดปอดข้างหนึ่งออก และในปี 2021 ทรงเข้ารับการผ่าตัดลำไส้ใหญ่เพื่อรักษาอาการลำไส้อักเสบ
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าและการเดินในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสด็จเยือนต่างประเทศในวัยชรา เช่น การเยือนมองโกเลียและสิงคโปร์ในปี 2023 ซึ่งเป็นการเดินทางที่ท้าทายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ความอดทนของพระองค์เป็นตัวอย่างของความศรัทธาและความทุ่มเทที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นผู้นำที่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงคริสตจักรคาทอลิก แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษยชาติผ่านความเมตตา ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นในการสร้างโลกที่ยุติธรรมและยั่งยืน มรดกของพระองค์จะคงอยู่เป็นแสงสว่างสำหรับคนรุ่นต่อไป
ที่มา : The Guardian, World Economic Forum, Vatican News, BBC, Reuters
อ่านข่าวอื่น :
เรียบง่าย-ถ่อมตน ขั้นตอนพิธีพระศพพระสันตะปาปาฟรานซิส
อำลาครั้งยิ่งใหญ่ ผู้นำโลก-ราชวงศ์ ร่วมพิธีพระศพ "โป๊ปฟรานซิส"