ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"สุริยะ" โต้ปม Super Deal แสนล้าน 2 โครงการไม่เอื้อเอกชน

การเมือง
25 มี.ค. 68
13:13
154
Logo Thai PBS
"สุริยะ" โต้ปม Super Deal แสนล้าน 2 โครงการไม่เอื้อเอกชน
อ่านให้ฟัง
08:40อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
รมว.คมนาคม ซัดฝ่ายค้านมโน Super Deal แสนล้านเอื้อเอกชน กรณีแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และขยายสัมปทานทางด่วน ย้ำรัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ดำเนินการ

วันนี้ (25 มี.ค.2568) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ กรณี สส.ฝ่ายค้าน อภิปรายกล่าวหากรณีแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการขยายสัมปทานทางด่วน เอื้อประโยชน์เอกชน โดยระบุว่า ผู้อภิปรายพยายามเล่นคำว่า Super Deal โดยบิดเบือนเอามูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าโครงการมาพูดเป็นแสน ๆ ล้านนั้น ล้วนมาจากการจินตนาการลอย ๆ

พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารงาน และทั้ง 2 โครงการยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการชุดต่างๆ และยังไม่ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่ถึงมือนายกรัฐมนตรี และขอย้ำว่ารัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ดำเนินการแต่อย่างใด ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงสำนักงานอัยการสูงสุด

ส่วนที่มีการอภิปรายว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา หรือมีผู้ใหญ่ นายใหญ่หรือนายน้อยสั่งการอยู่เบื้องหลังนั้น ยืนยันว่าตนไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับคู่สัญญาของทั้ง 2 โครงการ ดังนั้นจะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนได้อย่างไร

ไม่มีหรอกครับที่ผู้อภิปรายมโนว่าเป็น Super Deal แสนล้าน

รมว.คมนาคม ได้ชี้แจงกรณีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ว่า โครงการนี้ได้ทำสัญญากันมาตั้งแต่อดีต โดย ครม.อนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2561 และลงนามสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 ขณะที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 และหลังจากตนเข้ารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม พบว่าโครงการนี้มีปัญหาด้านสัญญา ตนเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้โครงการนี้สามารถเดินต่อไปได้

พร้อมระบุว่า EEC มีการลงทุนจากภาคเอกชนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท หากถอยโครงการนี้ ประเทศจะเสียหายมากและเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนโควิด เมื่อมีสถานการณ์โควิด ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุน และเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เอกชนไม่สามารถชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ 10,671 ล้านบาทได้ตามกำหนด แต่เพื่อไม่ให้บริการหยุดชะงัก ครม.จึงมีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 ให้ รฟท. EEC และเอกชน เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน ซึ่ง รฟท. และเอกชนได้ทำ MOU โดยเอกชนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินรถ บำรุงรักษาและรับความเสี่ยงทั้งหมด จนถึงปัจจุบันเอกชนขาดทุนสะสมไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท

ส่วนเงื่อนไขของสัญญาที่เซ็นกันไว้ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า เอกชนต้องได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ก่อน จึงจะเริ่มก่อสร้าง ดังนั้นเมื่อเอกชนยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมจาก BOI เนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ของจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด ทำให้ไม่สามารถเสนอแผนทางการเงินให้สมบูรณ์ตามแผนเดิม เพื่อขอรับบัตรส่งเสริมจาก BOI และระยะเวลาการขอรับบัตรส่งเสริมฯ สิ้นสุดลง จึงเกิดสถานะที่เรียกว่า Dead Lock ของสัญญาขึ้น

ดังนั้น การแก้ปัญหามีอยู่ 2 ทางคือ การแก้ไขสัญญา หรือการยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่ แต่การยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่เป็นทางเลือกที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ และการประมูลใหม่จะทำให้รัฐเสียหาย เนื่องจากผลกระทบทางต้นทุนและจะทำให้โครงการล่าช้าไปอีกอย่างน้อย 3 ปี และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องและข้อพิพาททางกฎหมายได้

สำหรับแนวทางการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ที่ผู้อภิปรายระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงจากการจ่ายค่างานโยธาให้กับเอกชน จากเดิมที่จะจ่ายเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้างนั้น ขอชี้แจงว่าโครงการยังเป็นรูปแบบ PPP Net Cost เหมือนเดิมและเอกชนยังคงเป็นผู้รับความเสี่ยงรายได้จากปริมาณผู้โดยสารเหมือนเดิม รัฐไม่ได้เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม 160,000 ล้านบาท เพื่อประกันความสำเร็จของการก่อสร้างและการเปิดเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง

ส่วนที่มีการระบุว่า การแก้ไขสัญญา รัฐจะเสียหาย เป็นการช่วยเอกชนให้ลดต้นทุนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยแนวทางในการแก้ไขสัญญาคือ รัฐจะจ่ายเงินน้อยลงจาก 149,650 ล้านบาท เหลือเพียง 125,932 ล้านบาท เพราะเป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ทำให้รัฐสามารถประหยัดดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 24,000 ล้านบาท นอกจากนี้การจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง เอกชนจะต้องโอนสิทธิความเป็นเจ้าของให้รัฐเมื่อได้รับเงินร่วมลงทุน หากเอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อได้ รัฐก็ยังหาเอกชนรายใหม่มาดำเนินการต่อ ไม่เป็นปัญหาเหมือนโครงการโฮปเวลในอดีต

นายสุริยะ ยังได้ชี้แจงกรณีการขยายสัมปทานทางด่วน ที่ สส.ฝ่ายค้าน อภิปรายกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการหาเหตุต่อขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนนั้น ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยโครงการ Double Deck เป็นโครงการต่อเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลในอดีตและเป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2563 ที่ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาหาทางแก้ปัญหาจราจรบนทางด่วน โดยการทางพิเศษฯ ได้เสนอผลการศึกษาและ ครม.มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2565

          "หากโครงการ Double Deck แล้วเสร็จ ผู้ใช้ทางจะสามารถลดเวลาเดินทางบนทางด่วนในช่วงงามวงศ์วานถึงพระราม 9 จาก 60 นาทีเหลือ 40 นาที ช่วยให้ประชาชนประหยัดน้ำมันและเวลาเดินทาง คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี แต่ถ้าไม่สร้างตอนนี้ รอสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลงแล้วค่อยสร้าง ประชาชนจะยังเดือดร้อนไปอีกนับ 10 ปี ประเทศชาติเสียโอกาส ใครจะรับผิดชอบ?"

รมว.คมนาคม ระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เชิญการทางพิเศษฯ เข้าชี้แจงและให้ข้อมูลและ ป.ป.ช.ก็ไม่ได้มีข้อกล่าวหาว่าการเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทานในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่มิชอบแต่อย่างใด รวมถึงได้เข้าชี้แจงกับคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนได้กำชับให้ผู้ว่าการการทางพิเศษฯ ดำเนินการทุกอย่างตามระเบียบ โปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

อ่านข่าว

ถ่ายทอดสดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ “แพทองธาร” วันที่ 2

ถอดความหมายประธานสภา "ลุกขึ้นยืนบนบัลลังก์" ปราม สส.

"โรม" ชี้ "แพทองธาร" ตัวการปมชั้น 14 สมคบอำนาจเก่า พา "ทักษิณ" กลับบ้าน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง