ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

แจกหนัก-พักหนี้ สูตรแก้จน "เพื่อไทย" หรือระเบิดเวลาประเทศ ?

การเมือง
20 มี.ค. 68
13:33
1,711
Logo Thai PBS
แจกหนัก-พักหนี้ สูตรแก้จน "เพื่อไทย" หรือระเบิดเวลาประเทศ ?
อ่านให้ฟัง
18:59อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ตั้งแต่เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในปี 2566 ได้ผลักดันนโยบายแจกเงิน เช่น เงินดิจิทัล 10,000 บาท และนโยบายแก้หนี้ เช่น ลดหย่อนหนี้ กยศ. รวมวงเงินมหาศาล โดยมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาความเดือดร้อน ท่ามกลางวิกฤตหนี้ครัวเรือน และ GDP ที่เติบโตต่ำ

ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในเดือน ส.ค.2566 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นโยบายที่ถูกผลักดันอย่างเด่นชัดคือ การแจกเงินและการแก้ปัญหาหนี้สิน ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางประชานิยมที่พรรคยึดถือมาตั้งแต่สมัย นายทักษิณ ชินวัตร

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2567 โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท และมาตรการพักหนี้เกษตรกร ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ท่ามกลางบริบทที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท และการเติบโตของ GDP ยังไม่ถึงเป้าร้อยละ 3

การใช้ทรัพยากรนับแสนล้านบาทในระยะเวลาอันสั้น จึงจุดประกายคำถามถึงประสิทธิภาพและความยั่งยืนของนโยบายเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าว เผยให้เห็นจุดอ่อนทั้งในแง่การวางแผนและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้ข้อมูลจากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะแสดงถึงความพยายามช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและเกษตรกร แต่การขาดเป้าหมายเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาทักษะแรงงาน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่อาจเป็นเพียงการซื้อเวลา มากกว่าการแก้ปัญหาที่รากเหง้า

หนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ และงบประมาณที่ผูกพันต่อเนื่อง ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในอนาคต ชวนมองภาพใหญ่นโยบายแจกเงินและนโยบายหนี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมและประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย

1.โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (เฟส 1-4)

เฟส 1 : เริ่ม 25 ก.ย.2567 แจกเงินสด 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน (ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.4 ล้านคน และผู้พิการ 2.15 ล้านคน) เงินโอนผ่านบัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ ไม่มีเงื่อนไขการใช้จ่าย เดิมตั้งใจใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน Blockchain แต่ปรับเป็นเงินสดเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม งบประมาณ 145,552.4 ล้านบาท (งบเพิ่มเติม 2567 : 122,000 ล้านบาท + งบกลางฉุกเฉิน : 23,552.4 ล้านบาท)

เฟส 2 : เริ่ม ม.ค.2568 แจกเงินให้ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ครอบคลุม 4-5 ล้านคน เน้นช่วยเหลือช่วงต้นปีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 40,000-50,000 ล้านบาท

เฟส 3 : อนุมัติโดย ครม. เมื่อ 10 มี.ค.2568 แจกเงินให้กลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน (จากฐานข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน) คาดเริ่มจ่าย เม.ย.2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายก่อนสงกรานต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 27,000 ล้านบาท

เฟส 4 : วางแผนแจกกลุ่มอายุ 21-59 ปีที่มีรายได้และเงินฝากตามเกณฑ์เดียวกัน คาดครอบคลุม 30-35 ล้านคน (หักกลุ่มที่ได้ไปแล้วและไม่เข้าเกณฑ์) รัฐบาลระบุอาจกลับมาใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ต ประเมินจากจำนวนคน คาดใช้เงินกู้หรืองบ 2569 จำนวน 300,000-350,000 ล้านบาท คาดชง ครม. ก.ย.2568 ผูกพันถึง 2569

รวมงบประมาณทั้งหมด : 512,552.4-572,552.4 ล้านบาท

2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร

จ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรปรับโครงสร้างการผลิตให้ตรงกับตลาด

เป้าหมายให้เกษตรกรวางแผนปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วนไปปลูกพืชอื่นที่ให้มูลค่าสูงขึ้น หรือปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ระยะเวลาและงบผูกพันดำเนินการในปี 2567

3. ค่าแรง 600 บาทและเงินเดือน ป.ตรี 25,000

นโยบายนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดยพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เป้าหมายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากระดับปัจจุบัน เป็น 600 บาท/วัน และปรับเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรีจากระดับเฉลี่ยปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570 เป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้แรงงานและนักศึกษาจบใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านกำลังซื้อที่สูงขึ้น

สำหรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท กลุ่มเป้าหมายคือแรงงานในระบบประมาณ 15-20 ล้านคน (จากจำนวนแรงงานทั้งหมด 39 ล้านคน ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2567) คาดหากปรับเพิ่มจากวันละ 400 เป็น 600 บาท จะต้องเพิ่มงบประมาณ 1,248,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งแหล่งงบประมาณไม่ใช่งบรัฐโดยตรง แต่เป็นต้นทุนที่นายจ้างต้องรับผิดชอบ รัฐอาจสนับสนุนผ่านการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนบางส่วน ซึ่งยังไม่ระบุชัดเจน 

ส่วนนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ ข้าราชการระดับเริ่มต้นและพนักงานเอกชนที่จบปริญญาตรี คาดครอบคลุม 1-2 ล้านคน คาดหากปรับเงินเดือนจาก 18,000 บาทซึ่งเป็นเงินเดือนเริ่มต้นข้าราชการปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีก 168,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่แหล่งงบประมาณ คิดจาก งบประมาณแผ่นดิน สำหรับข้าราชการ และการผลักดันผ่านนโยบายเอกชน เช่น ปรับโครงสร้างภาษี

4. บ้านเพื่อคนไทย

โครงการ "บ้านเพื่อคนไทย" เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมีงบประมาณสำหรับระยะแรกในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 5,700-5,800 ยูนิต ใน 4 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ บางซื่อ ธนบุรี เชียงราก และเชียงใหม่ บนพื้นที่ของการรถไฟ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระกำหนดไว้ที่ประมาณ 4,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี พร้อมสิทธิอยู่อาศัย 99 ปี

อย่างไรก็ตาม งบประมาณรวมทั้งหมดยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นตอนนี้ แต่คาดการณ์ว่าต้องสอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งมีจำนวนถึง 270,000 คน

ด้านระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย โครงการนี้มีแผนเริ่มเปิดจองเฟสแรกในวันที่ 20 ม.ค.2568 และคาดว่าจะสามารถส่งมอบบ้านล็อตแรกได้ในช่วงปลายปี 2569 ถึงต้นปี 2570 โดยระยะเวลาก่อสร้างและดำเนินการในเฟสแรกจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี กลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาท/เดือน โดยเฉพาะกลุ่มวัยเริ่มทำงานที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง

โครงการนี้ยังประสานนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงการคมนาคมที่สะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทำให้ตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างครบวงจร

นโยบายแก้ปัญหาหนี้ รบ.เพื่อไทย

1. นโยบายซื้อหนี้

เป็นแนวคิดล่าสุดที่ถูกเสนอโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประชาชน โดยให้รัฐเข้าไปซื้อหนี้จากระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อปลดภาระหนี้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะหนี้เสีย (NPLs) และหนี้ค้างชำระที่มีมูลค่าสูง

งบประมาณสำหรับนโยบายนี้ยังไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นต้น เนื่องจากแนวคิดนี้เสนอให้เอกชนเข้ามาลงทุนในหนี้เหล่านี้ โดยรัฐจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาและอำนวยความสะดวก แทนการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินโดยตรง ซึ่งอาจช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจริงจะต้องมีการประเมินมูลค่าหนี้ทั้งหมดที่อยู่ในระบบ ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าหลายล้านล้านบาท โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันสูงถึงร้อยละ 90 ของ GDP ประเทศ

สำหรับระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย นโยบายนี้ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดที่นายทักษิณเพียงพูดออกมาเท่านั้น ไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนกำหนดไว้ คาดว่าหากเกิดขึ้นจริง น่าจะเป็นโครงการระยะยาวที่ต้องใช้เวลาในการเจรจากับธนาคารและเอกชน รวมถึงการออกแบบกลไกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

กลุ่มเป้าหมายหลักคือประชาชนที่มีหนี้ค้างชำระในระบบธนาคาร โดยเฉพาะผู้ที่ถูกบันทึกในเครดิตบูโรและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งอาจครอบคลุมถึงหลายล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เป้าหมายคือการลบประวัติหนี้เสียออกจากเครดิตบูโร เพื่อให้กลุ่มนี้กลับมามีโอกาสทางการ (กู้) เงินใหม่ 

2. ลดหย่อนหนี้ กยศ.

มาตรการลดหย่อนหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่พรรคเพื่อไทย สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้ผลักดันเพื่อแก้ปัญหาหนี้หนี้การศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ ด้านงบประมาณ มาตรการนี้ไม่มีการจัดสรรเงินใหม่จากรัฐโดยตรง แต่ใช้กลไกภายในกองทุนผ่านการลดดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี ลดเงินต้นร้อยละ 5-10 สำหรับผู้ปิดบัญชี และลดเบี้ยปรับสูงสุดร้อยละ 100 โดยข้อมูลพรรคเพื่อไทย ปี 2567 ระบุว่าสามารถลดยอดหนี้รวมได้กว่า 5.6 หมื่นล้านบาท จากการปรับโครงสร้างหนี้ 3.5 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม การที่ กยศ. ขอวงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 เพื่อเติมสภาพคล่อง แสดงถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นหากรายได้จากการชำระหนี้ลดลง ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องเผชิญคำถามเรื่องความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยเฉพาะเมื่องบประมาณรัฐถูกกดดันจากโครงการอื่น เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต

ในแง่ระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย มาตรการนี้มีกรอบเวลาชัดเจน เช่น ส่วนลดร้อยละ 5-10 สำหรับการปิดบัญชีระหว่าง 1 มี.ค. - 31 พ.ค.2568 และการปรับโครงสร้างหนี้ใน 33 จังหวัดตั้งแต่ ม.ค. - มิ.ย.2568 ซึ่งขยายระยะผ่อนชำระสูงสุด 15 ปี กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมผู้กู้ยืม 3.58 ล้านรายที่อยู่ระหว่างชำระหนี้ 1.36 ล้านรายในช่วงปลอดหนี้ และกลุ่มหนี้เสีย 3.1 หมื่นราย มูลค่า 2,800 ล้านบาท

พรรคเพื่อไทยมองว่านี่คือการ "ปลดพันธนาการ" เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้กู้ยืมกลับมามีอิสรภาพทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่การขาดวินัยชำระหนี้ในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบวงเงินหมุนเวียนของ กยศ. หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันมาตรการควบคุมและการให้ความรู้ทางการเงินควบคู่ไปด้วย มาตรการนี้อาจกลายเป็นเพียงการบรรเทาชั่วคราว แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนตามที่พรรคตั้งใจไว้

3. คุณสู้ เราช่วย

มาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" เป็นนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ เป้าหมายหลักเพื่อลดภาระทางการเงินของประชาชนที่มีภาระหนี้สินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สำคัญต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของคนส่วนใหญ่

โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยให้โอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้และลดค่างวดชำระในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วม ได้แก่ สินเชื่อบ้านหรือบ้านแลกเงินที่มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000,000 บาท และสินเชื่อเช่าซื้อหรือจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 800,000 บาท มาตรการนี้ครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำในอัตราที่ลดลง คือ ปีแรกชำระเพียงร้อยละ 50 ของค่างวดเดิม ปีที่ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 70 และปีที่ 3 เป็นร้อยละ 9 ของค่างวดเดิม

เงินที่ชำระทั้งหมดจะถูกนำไปตัดเงินต้น ขณะที่ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถูกพักชำระไว้ และหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ดอกเบี้ยที่ถูกพักไว้จะได้รับการยกเว้นทั้งหมด

ในแง่ของงบประมาณ แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด แต่คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 2 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการสนับสนุนมาตรการ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิประโยชน์ด้านดอกเบี้ยและการลดภาระดอกเบี้ยสะสมของลูกหนี้ 

แม้ว่ามาตรการนี้จะมีข้อดีในการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้หนัก แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว เช่น ธนาคารต้องรองรับภาระดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับการชำระเต็มจำนวนในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงินบางแห่ง รวมถึงความเสี่ยงที่ลูกหนี้บางรายอาจไม่สามารถกลับมาชำระหนี้เต็มจำนวนได้หลังสิ้นสุดมาตรการ 

บทสรุปอนาคต นโยบายเพื่อไทยในบริบทเศรษฐกิจและหนี้สิน

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาตรการช่วยเกษตรกร ปรับค่าแรงและเงินเดือน ไปจนถึงโครงการบ้านเพื่อคนไทย และนโยบายหนี้ เช่น การซื้อหนี้ ลดหย่อนหนี้ กยศ. และ คุณสู้ เราช่วย

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน สะท้อนเจตนารมณ์ประชานิยมที่หวังบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนท่ามกลางหนี้ครัวเรือน 16.4 ล้านล้านบาท และ GDP ที่เติบโตไม่ถึงร้อยละ 3 แต่ก็เผยจุดอ่อนสำคัญในแง่ความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ด้วยงบประมาณรวมกว่า 500,000 - 600,000 ล้านบาทในระยะสั้น และหนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ

อนาคตของนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่ 2 ฉากทัศน์ คือ หากรัฐบาลสามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงาน และบริหารหนี้อย่างมีวินัย อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน แต่ หากยังเน้นการแจกเงินและพักหนี้โดยขาดกลไกแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงต่อวิกฤตการคลังจะเพิ่มสูงขึ้น สถาบันการเงินอาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และประชาชนอาจติดอยู่ในวังวนหนี้ต่อไป สะท้อนว่าการซื้อเวลาด้วยวิธีประชานิยมอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาว

รวบรวมจาก : แถลงการณ์นายกฯ แพทองธาร, กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, กยศ., กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อ่านข่าวอื่น :

กมธ.เผย ร่าง"กม.คุมเหล้า" หวังเพิ่มความรับผิดชอบร้านค้า

"เมย์ วาสนา" ส่งทนายดำเนินคดี "ดิว อริสรา" ฐานยักยอกทรัพย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง