ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการไหน เพราะวิธีแรกเริ่ม พรรคเพื่อไทยออกเหรียญดิจิทัลแจกให้ประชาชน แล้วรัฐบาลจะเติมเงินให้ แต่แบงก์ชาติบอกว่าทำไม่ได้ ต้องมีเงินทุนมาหนุนหลัง จึงต้องหาวิธีใหม่
แต่ไอเดียดังกล่าว ถูกขานรับทันควันทั้งจากนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่นายทักษิณยกเครดิตให้เต็มๆ ว่า มาจากความต้องการแก้หนี้สินให้กับประชาชน เนื่องจากทุกวันนี้ หนี้ครัวเรือนมีกันเยอะมาก จึงได้หารือกัน เป็นที่มาของแนวทางนี้ ประชาชนจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน
อ่านข่าว : นักวิชาการชี้แนวคิด "ซี้อหนี้เสีย" เป็นไปได้ หวั่นดาบสองคมอุ้มแบงก์-ติดกับดักหนี้
อีกคนที่ขานรับ คือ นายพิชัย ชุณหวชิระ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีการคลัง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ที่บอกว่า ตนได้คิดเรื่องนี้อยู่แล้ว รู้วิธีแก้ปัญหาหนี้มี 2-3 วิธี คือ ปรับโครงสร้างหนี้ อาจใช้การเจรจา ยืดหนี้ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้อยู่ได้
หรือใช้วิธีคล้ายกับในปี 2540 ที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารเจอปัญหาสภาพคล่อง เพราะมีหนี้เอ็นพีแอล (หนี้ไม่เกิดรายได้) เยอะ หรือใช้มาตรการจัดตั้งกิจการร่วมทุน เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งต้องทำร่วมกับธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้ และเปิดทางให้เอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมบริหารจัดการ
สะท้อนความเป็นไปได้ สำหรับแนวทางนี้ มีแนวโน้มจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลในที่สุด ไม่ต่างจากคำพูดหรือวิสัยทัศน์ที่นายทักษิณแสดงไว้ ได้กลายเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยนำไปแถลงต่อรัฐสภา และผลักดันเป็นโครงการของรัฐบาล เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
แม้นายพิชัยจะบอกว่า วันนี้เป็นเพียงวิธีคิด และอาจต้องใช้เวลาเคลียร์เตรียมความพร้อมก่อน สอดคล้องกับคำพูดของ น.ส.แพทองธาร ที่บอกว่า เกิดความหวังดี ต้องการช่วยเหลือประเทศของนายทักษิณ ประชาชนได้ฟังแล้ว ทำให้มีความหวัง ส่วนเรื่องทำให้เกิดขึ้นเป็นจริง ต้องไปคุยกันอีกที เพราะมีขั้นตอนและกระบวนการอื่น ๆ อยู่
เท่ากับเป็นนัยว่า นโยบายนี้ยังเป็นโมเดลในอากาศ ยังไม่มีพิมพ์เขียวด้วยซ้ำ หมายถึงจะยังไม่เกิดในอนาคตอันใกล้ แต่เป็นหนึ่งในความฝันในอนาคตข้างหน้า แต่จะทำได้จริงหรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้ เพราะหากทำได้ง่ายๆ คงมีรัฐบาลชุดอื่น ๆ ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถูกหยิบยกมาพูดถึงตอนนี้ เพราะเป็นช่วงนายกฯ กำลังนับถอยหลังสู่การถูกซักฟอกโดยฝ่ายค้าน จึงต้องการเสียงเชียร์และกำลังใจจากประชาชนเยอะ ๆ
ความจริงการซื้อหนี้ประชาชนเป็นเรื่องดี เป็นประโยชน์สำหรับประชาชน เพราะเป็นแนวทางช่วยเหลือผู้คนที่ส่วนใหญ่มีหนี้สินทั้งนั้น จะได้ลืมตาอ้าปากมองเห็นอนาคตหรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง
หลังจากก่อนหน้านี้ มีโครงการแก้หนี้ทั้งในและนอกระบบ มาตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีการเจรจาตกลงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ จนเกิดผลสำเร็จถึง 1.43 แสนราย จากลงทะเบียนทั้งสิ้น 1.53 แสนราย มูลหนี้ลดลงกว่า 1.1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นข้อมูลจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร
ขณะที่ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์รวม 11 แห่ง ปี 2567 มีกำไรสุทธิรวม 2.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 7 % เมื่อเทียบกับปี 2566 สะท้อนให้เห็นผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนผู้คนทั่วไปได้แต่อิจฉา และตั้งคำถามว่า เป็นเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างเงินกู้กับเงินฝากหรือไม่
อ่านข่าว : นักวิชาการแนะดึงงบ "เงินดิจิทัล" ค้ำประกัน สร้างแรงจูงใจเอกชนช่วยสางหนี้เสีย
ขณะที่หนี้ครัวเรือน ไตรมาส 3/67 จากการเปิดเผยของนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3 % ชะลอลงจาก 2.3 % ในไตรมาสก่อน แม้ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงจาก 90.7 % ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6 % แต่ถือเป็นสัดส่วนที่ยังค่อนข้างสูง
ขณะที่ผลการสำรวจหนี้ครัวเรือนของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปี 2567 พบว่า ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 606,378 บาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้ในระบบเกือบ 70 % และ หนี้นอกระบบอีก 30 % เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4 % และเพิ่มสูงสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจในรอบ 16 ปี และสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก คิดเป็น 90.4-90.8 % ของจีดีพีประเทศ
สะท้อนชัดเจนว่า คนไทยเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว หากแก้หนี้ประชาชนได้ ฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนจมหูแน่นอน และจะทำให้คงความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในปี 70 ซึ่งเชื่อว่า อาจเป็นหมุดหมายของนโยบายนี้ หรืออาจจะเริ่มต้นก่อนในสมัยรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่จะมีการตีปี๊บว่า จะประสบผลสำเร็จจริงจังในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทำให้ยังเป็นโอกาสของ น.ส.แพทองธาร บนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งสมัย
แต่จะเป็นจริงได้แค่ไหน ต้องดูที่องค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งเอกชนที่รัฐบาลหวังให้เข้ามาลงทุน จะมีหรือไม่ หรือภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้าง รัฐบาลจะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณไปสนับสนุนหรือดึงดูดนักลงทุนเอกชนเลยจริงหรือ ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะมีท่าทีอย่างไร
ยังไม่นับรวม จะทำให้ประชาชนที่เป็นลูกหนี้ทั่วไป เกิดความชินชาและมีผลต่อระเบียบวินัยของการเป็นลูกหนี้ที่ดี เพราะเชื่อว่าวันหนึ่งรัฐบาลต้องเข้ามาปลดหนี้ให้หรือไม่ กระทบต่อความรับผิดชอบเมื่อมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้หรือไม่
หรือจะเป็นเพียงการ “ตกเขียว” ที่ต้องโหมโปรโมทเพียงหวังความนิยม และคะแนนเสียงทางการเมืองเท่านั้นเอง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : เทียบเปรียบแนวทางแก้หนี้เสีย ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ