วันนี้ (19 มี.ค.2568) จากกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดใหม่แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ด้วยวิธีการซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคารทั้งหมด
ซึ่งจะดำเนินการผ่านบริษัทหรือหน่วยงานเฉพาะกิจ โดยจะไม่ใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่จะเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนแทน แล้วให้ประชาชนผ่อนชำระในจำนวนที่น้อยลงจนปลดหนี้ได้สำเร็จ
ดร.วิชัย วิทยาเกียรติเลิศ ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นับเป็นมาตรการใหญ่ที่จะส่งกระทบต่อโครงสร้างหนี้ของประเทศไทยโดยตรง โดยข้อมูลปี 2566 พบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยมีมูลค่า 15.54 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) ราว 4 % หรือคิดเป็นมูลค่า 6.2 แสนล้านบาท
ซึ่งแนวทางการให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เข้ามารับซื้อ NPL จากธนาคารและสถาบันการเงินแทนการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ถือเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้และมีความเหมาะสมในเชิงนโยบายและเศรษฐกิจ
โดยรัฐบาลจะต้องทำหน้าที่เป็นกลไกกลาง กำกับดูแล และสร้างกรอบการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและประโยชน์สูงสุดกับประชาชนผู้เป็นลูกหนี้ พร้อมกำหนดมาตรการคุ้มครอง เช่น การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ลดดอกเบี้ย ลดภาระหนี้จริง และ กำกับให้ AMC ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
ดร.วิชัย กล่าวต่อว่า นโยบายซื้อหนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม กล่าวคือหากดำเนินการได้ถูกทางก็จะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้จริง จะช่วยลดภาระงบประมาณและหนี้สาธารณะ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน
ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือจำเป็นต้องมีตัวเลข มีความโปร่งใส และมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การช่วยให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้
เปรียบให้เห็นภาพจากฐานคิดในกรณีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์เข้ามารับซื้อ NPL จากธนาคารและสถาบันการเงินในราคาที่ลดลงเฉลี่ย 35 % ของยอดหนี้ที่รับซื้อ ซึ่งเป็นตามกลไกตลาดปกติของการรับซื้อ NPL จะสามารถนำเงินเข้าสู่ระบบได้ 1-2.1 แสนล้านบาท และช่วยดันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เป็นจำนวนเงินราว 1.6-3.2 แสนล้านบาท ทั้งยังช่วยลด NPL ได้ถึง 50-100 %
อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะหากรัฐบาลแก้เฉพาะหนี้โดยไม่แก้ไขพฤติกรรมทางการเงินของประชาชนด้วย เราจะเห็นปัญหาเดิมกลับมา นั่นคือพักหนี้-รีไฟแนนซ์ แล้วก็จะกลับมาเป็นหนี้อีก ตรงนี้จะกลายเป็นกับดักหนี้ซ้ำซาก ซึ่งตัวอย่างจากหลายประเทศชัดเจนว่ามาตรการแบบนี้ถ้าไม่มีวินัยทางการเงินคู่ขนานด้วยแล้วก็จะล้มเหลว เช่น โครงการพักหนี้เกษตรกร หรือคลินิกแก้หนี้ที่ช่วยได้แค่ 3.2 ล้านคน จากจำนวนคนไทยที่เป็นหนี้กว่า 25.5 ล้านคน
สำหรับข้อเสนอต่อนโยบายซื้อหนี้ ดร.วิชัย กล่าวว่า รัฐบาลควรจัดทำมาตรการหรือเลือกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ไม่ควรหว่านไปทั่วทั้งประเทศ เช่น ใช้เฉพาะกับผู้ที่มีรายได้น้อย และมีหนี้จำนวนต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยจัดตั้ง AMC เป็นหน่วยงานกลาง ตามที่อดีตนายทักษิณ นำเสนอไอเดีย เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารหนี้อย่างมืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มากไปกว่านั้นควรจะต้องดำเนินการควบคู่กับการฟื้นฟูรายได้ เช่น การส่งเสริมอาชีพด้วย
ตัวอย่างประเทศที่ทำเรื่องนี้ได้ใกล้เคียงที่สุด คือประเทศไอซ์แลนด์ โดยในช่วงหลังวิกฤตปี 2008 มีการดำเนินนโยบายตัดหนี้ให้ประชาชนโดยตรงผ่านการใช้งบประมาณ 10 % ของ GDP ภายในระยะเวลาแค่ 3 ปี ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนในประเทศลดลง 30 % และ GDP ก็กลับมาโตเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป
สิ่งที่อยากเน้นย้ำคือ ต้องออกแบบกันดีๆ เพราะแม้ว่าแนวทางนี้จะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วจริง ลด NPL ได้จริง แต่ถ้าออกแบบไม่ดี หรือสุดท้ายแล้ว รัฐต้องนำเงินภาษีออกมาช่วยอุดหนุนเอง มันจะกลายเป็น Bailout ที่ธนาคารและคนรวยได้ประโยชน์ แต่คนจนไม่ได้อะไร สิ่งสำคัญคือต้องกันไม่ให้กลายเป็นนโยบายอุ้มธนาคารและเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางกลุ่ม
อ่านข่าว :
"ธีระชัย" หวั่นไอเดีย "ซื้อหนี้ประชาชน" กลายเป็นภาระคนจ่ายภาษี
"ภูมิธรรม-ทวี" ถึงจีน ภารกิจแน่น พบ "อุยกูร์" ถกผู้นำท้องถิ่น