นักการเมืองไทยควรศึกษากรณีการจับกุมดู "โรดริโก ดูเตอร์เต" อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ให้ดี วันข้างหน้าใครก็ตามที่มีพฤติกรรมแบบเขาอาจจะเจอแจ็กพอตได้ แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตำรวจฟิลิปปินส์ได้จับกุม "ดูเตอร์เต" ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ภายใต้หมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court – ICC)
ตอนมีอำนาจ ดูเตอร์เตสั่งให้ตำรวจไล่ล่าและสังหารผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย กลุ่มสิทธิมนุษยชน ระบุว่า มีผู้ถูกสังหารโดยการวิสามัญฆาตกรรมมากกว่า 30,000 ราย

การจับกุมครั้งนี้นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ ICC ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการอิสระที่มีอำนาจสอบสวนและพิจารณาคดีบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยมีสำนักงานใหญ่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การจับกุมดูเตอร์เตครั้งนี้ เกิดขึ้นได้เพราะเขาพ้นจากตำแหน่งและไม่มีอำนาจทางการเมืองอีกต่อไป นอกจากนี้ ลูกสาวของเขา ซารา ดูเตอร์เต ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีกลับมีความขัดแย้งกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์

ก่อนหน้านี้ ซาราถึงกับขู่ว่าจะ "ตัดหัวและยิงทิ้ง" มาร์กอส จูเนียร์ ทั้งคู่เริ่มเป็นศัตรูกันหลังจากร่วมมือกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อสามปีก่อน
เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ถ้าเป็นกรณีหมายจับของ ICC ต่อ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย หรือ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล การจับกุมแบบดูเตอร์เตย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นไม่ให้ความร่วมมือ
ศาล ICC ไม่มีอำนาจดำเนินการจับกุมเอง ต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลของแต่ละประเทศในการจับกุม ฉะนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ สภาพการเมืองภายในของประเทศนั้น ๆ
หากในอนาคต นักการเมืองไทยคนหนึ่งถูกหมายจับของ ICC แบบเดียวกับดูเตอร์เต จะเกิดคำถามทันทีว่า ตำรวจไทยจะจับตัวนักการเมืองคนนั้นหรือไม่?
คำตอบชัดเจนมาก—หาก สภาพการเมืองไทยในอนาคตอยู่ภายใต้พรรคการ เมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และต้องการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าประเทศไทยเคารพกฎกติกาสากล รัฐบาลก็สามารถสั่งให้ตำรวจจับและส่งตัวนักการเมืองไทยไปยังศาล ICC ได้
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของศาล ICC แต่นี่คือกรณีเดียวกับฟิลิปปินส์ ซึ่งถอนตัวจากการเป็นสมาชิกเมื่อปี 2013
เมื่อขั้วอำนาจการเมืองเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างมีสิทธิเป็นไปได้
ในกรณีของดูเตอร์เต เขาไม่ขัดขืนต่อการจับกุม พร้อมประกาศว่าจะต่อสู้ข้อกล่าวหาที่กรุงเฮก ลึกๆ อดีตผู้นำฟิลิปปินส์คาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองจาก มาร์กอส จูเนียร์ ซึ่งเคยสัญญาว่าจะปกป้องเขาจากการถูกสอบสวนโดยองค์กรระหว่างประเทศ
แต่เมื่อ สภาพการเมืองในฟิลิปปินส์เปลี่ยนแปลง และ ซารา ดูเตอร์เต กลายเป็นคู่อริและคู่แข่งทางการเมืองในอนาคต ประธานาธิบดีมาร์กอส จึงใช้โอกาสนี้ หักหลังตระกูลดูเตอร์เต

เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเลวร้ายลง การคุ้มครองดูเตอร์เตที่มาร์กอสเคยให้คำมั่นไว้ก็เริ่มจางหาย รัฐบาลฟิลิปปินส์จึงยอมให้เจ้าหน้าที่ของศาล ICC เข้ามาดำเนินการสอบสวนในประเทศและจับดูเตอร์เต
นี่คือ สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ดูเตอร์เตถูกจับกุม ปัจจัย การเมืองภายใน เป็นตัวแปรสำคัญที่เปิดโอกาสให้ศาล ICC เข้ามามีบทบาทในประเทศได้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ดูเตอร์เตจะต้องเผชิญกับกระบวนการสอบสวนของศาล ICC
นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ ประเทศไทยและนักการเมืองไทยทั้งหลาย—อำนาจไม่ได้อยู่กับใครได้ตลอดไป และวันหนึ่งหากชั้วอำนาจเปลี่ยน คนที่เคยอยู่บนจุดสูงสุด อาจกลายเป็นผู้ต้องหาที่ไร้การคุ้มครองในพริบตา
มองเทศ คิดไทย : กวี จงกิจถาวร สื่อมวลชนอาวุโส
อ่านข่าว : "ภูมิธรรม-ทวี" ถึงจีน ภารกิจแน่น พบ "อุยกูร์" ถกผู้นำท้องถิ่น
หัวเราะวันละ 5 นาที ทางลัดสู่สุขภาพดีที่ใคร ๆ ก็ทำได้
ไฟไหม้สถานที่เก็บรถของกลางด่านศุลกากรแม่สอด จ.ตาก รถเสียหาย 300 คัน