วันนี้ (5 มี.ค.2568) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนและการใช้เครื่อสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวยที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
โฆษก ศธ. กล่าวว่า ปัจจุบัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญในเรื่องของสิทธิผู้เรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ออกหนังสือยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ก.พ.2566 เพื่อไม่ให้กฎระเบียบจำกัดเสรีภาพในร่างกายของนักเรียน
ในวันนี้ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวโดยระบุเหตุผลว่า เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิดและคุณธรรม พร้อมที่จะรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองที่มีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคต นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง
แน่นอนว่าที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้รับฟังทุกเสียงของผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนในสังคม พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาทีละจุดให้เกิดความเรียบร้อยจนเกิดเป็นที่พึงพอใจได้หลายส่วน ซึ่งในส่วนของการดำเนินการของศาลปกครองเรื่องเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ในวันนี้ ก็เป็นไปตามกรอบระยะเวลากระบวนการพิจารณาคดีปกครอง ที่ต้องมีการพิพากษาชี้ขาดภายในระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน แต่กฎระเบียบดังกล่าวในทางปฏิบัติเราได้ยกเลิกมานานแล้ว
“กระทรวงศึกษาธิการและเน้นย้ำเน้นย้ำกับครูและสถานศึกษามาโดยตลอดในเรื่องการให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของผู้เรียน และระมัดระวังการลงโทษที่เกินกว่าเหตุเพื่อไม่ให้กระทบร่างกายและจิตใจผู้เรียน สอดคล้องนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” โดยต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนที่หลากหลายและเป็นธรรมในทุกด้าน กฎระเบียบอะไรที่ปรับแล้วไม่เกิดความเสียหาย เราก็ไม่ได้ยึดติดพร้อมเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน” โฆษก ศธ. กล่าว
ไทม์ไลน์การดำเนินการเรื่องยกเลิกระเบียบทรงผม
1) เรื่องทรงผม เดิมถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่1 และ 2 ออกตาม ปว 132 จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ก็ยังถือปฏิบัติตลอดมาตามบทเฉพาะกาลเพราะยังไม่ออกกฎกระทรวงฉบับใหม่
2) ปี 2548 ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาแต่ไม่ได้กำหนดเรื่องของทรงผม ยังคงถือปฏิบัติต่อมา
3) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แจ้งมายังกระทรวงศึกษาธิการว่าเราควรจะมีระเบียบกลางเกี่ยวกับเรื่องทรงผมเพื่อเป็นแนวทาง เนื่องจากมีนักเรียนไปร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพราะสถานศึกษาแต่ละแห่งปฏิบัติไม่เหมือนกัน
4) ปี 2563 ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยทรงผมนักเรียน
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
5) เดือนสิงหาคม 2565 นักเรียนร้องเรียนมายังกระทรวงศึกษาธิการว่าไม่มีอำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับทรงผมดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเราจึงได้หารือเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
6) สำนักงานคณะกรรมการกษฎีกา ได้ตอบข้อหารือ กฎกระทรวงฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) สิ้นผลใช้บังคับนับแต่วันที่กฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียน พ.ศ. 2548 มีผลใช้บังคับ และกระทรวงศึกษาธิการไม่อาจออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการพ.ศ. 2546 เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนเพื่อใช้บังคับแก่นักเรียนโดยตรงได้
แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการอาจกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนและแจ้งเวียนไปยังสถานศึกษาเพื่อให้สถานศึกษาออกระเบียบของสถานศึกษาเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนได้โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 39 (1) พรบ.ศธ. 2546
7) ปี 2566 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ออกระเบียบกระทรวงเพื่อยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน พ.ศ. 2563 และขณะเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ออกนโยบายแจ้งเวียนไปยังส่วนราชการและสถานศึกษา มีสาระสำคัญ กล่าวคือ จัดให้มีระเบียบของสถานศึกษาเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน โดยผ่านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย เช่น นักเรียน และต้องขอความเห็นชอบจาก คณะกรรมการสถานศึกษาหรือ คณะกรรมการบริหารโรงเรียน รวมทั้งเผยแพร่ระเบียบดังกล่าวให้นักเรียนทราบต่อไป
8) 21 พ.ย.2567 กระทรวงศึกษาธิการแจ้งครูและสถานศึกษาในสังกัดถึงการระมัดระวังการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ ต้องเป็นไปตามแนวทางการลงโทษ 4 สถานเท่านั้น คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทําทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทํากิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยกันปรับทัศนคติให้สอดคล้องกับบริบทสังคม
9) 3 ม.ค.2568 กระทรวงศึกษาธิการได้เน้นย้ำเรื่องยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน โดยให้สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพของผู้เรียน ส่งเสริมความหลากหลายและเป็นธรรมในทุกด้าน
อ่านข่าว :
ยกเลิก100% “ทรงผมนักเรียน” ให้สิทธิเสรีผู้เรียน ไม่ระบุความยาว