ตัวละครส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นอดีตคนรอบข้างและคนในเครือข่าย “โกทร” นายสุนทร วิลาวัลย์ ทั้งสิ้น
แต่ดังที่ทราบ “โกทร” ไม่มีเบอร์ 2 น้องสาวอย่างนางบังอร วิลาวัลย์ อดีตนายก อบจ. หรือลูกสาว นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศึกษาฯ ล้วนแต่ต้องพึ่งพา “โกทร” หลานชายอย่างนายอำนาจ วิลาวัลย์ สส.เขต 1 ค่ายสีน้ำเงิน ก็ไม่สนใจสนามท้องถิ่น และบารมียังไม่แตกฉาน
เป็นเหตุให้เกิดช่องโหว่ ไม่มีใครรับหน้าที่บริหารจัดการแทน “โกทร” ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ประกอบกับญาติ 3 คนที่มีชื่อรับอนุญาตเข้าเยี่ยมได้ ก็ไม่ต้องการนำเรื่องที่จะทำให้ “โกทร” ไม่สบายใจ หรือกังวลไปบอกกล่าว เรื่องคนในสังกัดเดิมแปรพักตร์
ทำให้คนนอกเรือนจำ ไม่ต้องมีความเกรงใจอะไร มีทั้งที่เปลี่ยนข้างไปหนุนคนใหม่ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง บางคนไปลงสมัคร ส.อบจ.หนุนให้เป็นนายกฯ คนใหม่ ก็มี
ทั้งนี้อาจด้วยปัจจัยสำคัญคือ การมีนักการเมืองระดับชาติ “ขาใหญ่” ชื่อชั้นน่าเกรงขาม ที่ได้รับมอบหมาย ลงไปกำกับดูแลแล้วเรียกหารือเครือข่าย ที่ให้การสนับสนุน 2-3 ครั้ง
ล่าสุดก่อนวันเลือกตั้งไม่กี่วัน แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว หรือไม่ได้ช่วยลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้ จึงได้เห็นผู้สมัครนายก อบจ.บางคน ลงพื้นที่หาเสียงอย่างโดดเดี่ยว เพราะประเมินแล้วว่า จะได้เสียงสนับสนุนและเรียกคะแนนสงสารได้มากกว่า
ไม่ต่างจากอีกหลายๆ จังหวัด ที่กูรูการเมืองฟันธงว่า ปัจจัยชี้ขาดสำคัญอยู่ที่ “กระสุน” นอกเหนือจากกลไกอำนาจรัฐ และบารมีของคนที่สั่งการ ปราจีนฯ ก็ไม่มีข้อแตกต่างนัก
โดยเฉพาะการตอกย้ำไปเกี่ยวโยงกับกรณีภาพจากกล้องวงจรปิด กรณีการขนเงินในกล่องกระดาษไม่น้อยกว่า 10 กล่อง ออกจากบ้านนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง ที่เคยอยู่ในเครือข่าย “โกทร” ว่ากันว่า มีมูลค่ากว่า 20 บ้านบาท สำหรับเตรียมใช้ในการเลือกตั้ง อบจ.
และต่อมาถูกสำทับ จากนายสันทนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาลว่า เป็นเงินที่แตกจากแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย มีนำภาพและที่อ้างเป็นหลักฐานไปยื่นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย
จะเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการเลือก อบจ.แค่ไหนหรือไม่ ยังไม่มีใครกล้ายืนยันหรือปฏิเสธ เพราะไม่มีใครรู้ว่าปลายทางของเงินในกล่องกระดาษไปจบลงที่ใด แต่เรื่องปัจจัย “กระสุน” เป็นที่รับรู้และพูดกันในวงกว้างทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง
สำหรับเหตุการณ์ล่าสุด ที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หรือ นปพ.เข้าตรวจค้นและจับกุมกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดนักการเมือง 6 คน พร้อมอาวุธปืนพกประจำกาย ระหว่างงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขต อ.ประจันตคาม นั้น
ความจริงก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเป็นการปฏิบัติการโดยอ้างได้รับแจ้งจากพลเมืองดี แม้จะเป็นการฉลองชัยชนะ และเตรียมยินดีล่วงหน้ากับคน “บ้านใหญ่ประจันตคาม” ที่จะผงาดขึ้นไปนั่งประธานสภา อบจ.ปราจีนฯ แต่การพกพาอาวุธเข้าไปในร้านอาหารที่เปิดบริการทั่วไป ย่อมเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
ฉะนั้นถึงจะแสดงอำนาจบาดใหญ่แจก “ของลับ” ตะโกนด่าอ้างไม่ให้เกียรติอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น และทางตำรวจ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะสังกัดหน่วยงานใด ต้องไม่ไปกดดันหรือลำเลิก กระทั่งบีบให้ตำรวจชุด นปพ.ที่ทำหน้าที่ ต้องขอโทษ หรือถึงขั้นต้องออกแถลงการณ์ปกป้องตนเอง
ส่วนจะเป็นเรื่องส่วนตัว หมั่นไส้ เคลียร์กันไม่ลงตัว หรือเป็นเรื่อง “ทับเส้น” หักเหลี่ยม หรือเกรงจะบิดพลิ้วข้อตกลง หรืออาจเป็นเพียงต้องการป้องปรามความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมา หลังฉลอชัยจนได้ที่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องอยู่บนข้อเท็จจริงและความเป็นธรรม
แต่อย่าปล่อยให้เกิดความอหังการ เห็นกฎหมายเป็นเพียงกระดาษ หรือจงใจส่งเสริมให้เกิด'ผู้มีอิทธิพล'เจ้าใหม่ แทนที่ “เจ้าพ่อบ้านใหญ่” คนเดิม ที่คนปราจีนฯ ต้องระอาใจมายาวนานหลายสิบปี
พอแล้วได้ไหม ถึงเวลาสำหรับปลดแอกจาก “บ้านใหญ่” ผู้มีอิทธิพล
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ศาลออกหมายจับ "สส.ปูอัด" คดีล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยว