ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นายกฯ อิ๊งค์พบผู้นำ “เบอร์ 2” โลก ตัวจักรสำคัญปราบ “แก๊งมิจฯ” ชเวก๊กโก

การเมือง
6 ก.พ. 68
15:23
169
Logo Thai PBS
นายกฯ อิ๊งค์พบผู้นำ “เบอร์ 2” โลก ตัวจักรสำคัญปราบ “แก๊งมิจฯ” ชเวก๊กโก
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

การตัดไฟฟ้า ตัดเน็ต งดส่งน้ำมัน ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์ ที่ฝังตัวอยู่ตามพื้นที่แนวชายแดนไทย-เมียนมา 5 จุด รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ตั้งชเวก๊กโกและเคเคพาร์ค ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของ “แก๊งมิจ” ข้ามชาติ

เป็นปฏิบัติการที่สอดคล้องกับภารกิจสำคัญของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ มีกำหนดเข้าเยี่ยมคารวะ หารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง

ทั้งเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ 2 ประเทศในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และหารือความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาแก๊งอาชญากรข้ามชาติและคอลเซนเตอร์ ที่มี “ทุนจีน” อยู่เบื้องหลัง สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับคนไทยและคนจีนในภูมิภาคนี้

ไม่เพียงคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท เฉพาะในรอบ 2 ปี แต่ความเสียหายจากฝั่งประเทศจีน ที่ถูกเปิดเผยชัดเจนในวันที่หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน และคณะ

เข้าพบหารือกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. (กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) พร้อมทีมงาน เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2568 เรื่องจัดการกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ในพื้นที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำเสียหายให้มากถึง 10 ล้านล้านดอลล่าร์ จากแก๊งคนจีนถึง 36 แก๊ง มีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 แสนคน และมีคนจีนถูกหลอกไปทำงานจำนวนมาก และถูกทำร้ายร่างกาย อย่างกรณี นายหวังซิน หรือซิงซิง ดาราจีน และมีผู้เสียชีวิตด้วย

ถือเป็นปฏิบัติการเชิงรุกครั้งสำคัญ เพราะจะปราบกลุ่มแก๊งสแกมเมอร์ ที่มีทั้งความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มีอำนาจในพื้นที่ และมีเงินทุนมหาศาลในการดำเนินการ ขณะเดียวกันก็ทำรายได้จำนวนมากจากผู้ตกเป็นเหยื่อเช่นกันนั้น ทางการไทยจะทำเองโดยลำพังไม่ได้ เพราะแก๊งเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน

มิหนำซ้ำรัฐบาลเมียนมา และกองทัพเมียนมา ปัจจุบันก็ไม่สามารถใช้อำนาจเข้าไปจัดการภายในได้ เนื่องจากอยู่ในเขตอิทธิพลของทหารกระเหรี่ยงอิสระ กลุ่ม BGF หรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ที่ปัจจุบันมีกำลังพลประมาณ 7,000 นาย พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ภายใต้การนำของ พ.อ.ชิตตู่ ที่แปรพักตร์ไม่อยู่ข้างเดียวกับทหารเมียนมาแล้ว

การจัดการจึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจัง จากทั้งเมียนมาร์ และรัฐบาลจีน ที่เคลื่อนไหวชัดเจนสำหรับการปราบปรามกลุ่ม “แก๊งมิจ” เหล่านี้ ตั้งแต่ปฏิบัติการล้างบางที่เมืองเล้าก์ก่าย เมืองเอกในเขตปกครองพิเศษโกก้าง ที่อยู่ด้านตะวันออกค่อนไปทางเหนือของเมียนมาร์ใกล้ชายแดนจีน และถูกสื่อต่างชาติตั้งฉายาให้ว่าเมืองคนบาป หรือ Sin City

อาชญากรข้ามชาติที่เล้าก์ก่าย จึงลี้ภัยมาเติมเต็มให้กับชเวก๊กโกและเคเคพาร์ค ในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองเมียวดี นอกจากนี้ ยังมี “แก๊งมิจ” อีกส่วนหนึ่ง ที่เดิมทีมีศูนย์ปฏิบัติการในกัมพูชา อาทิ สีหนุวิลล์ ได้อพยพหนีการปราบปรามไปอยู่เมืองเมียวดีด้วย จนกลายเป็นเมืองหลวงของแก๊งอาชญากรข้ามชาติปัจจุบัน

นอกจากมีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์แบบ 3 เส้า คือทุนจีนผู้ลงทุน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ของทหารกะเหรี่ยง และเจ้าหน้าที่ทางการของไทย ดังที่นักวิชาการได้ศึกษาวิจัยและเปิดเป็นข้อมูลในเชิงลึก ให้คนนอกได้รับทราบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนหลายชั้นแล้ว

ปัจจัยที่สะท้อนความเข้มแข็งของแก๊งอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ คือมีงบสำหรับใช้จ่ายดำเนินการมหาศาล ใกล้เคียงกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทยทีเดียว โดยการเปิดเผยของ พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีต รองเลขาธิการ สมช.

สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทย ปี 2567 อยู่ที่ 3.48 ล้านล้านบาท ล่าสุด งบปี 2568 มีจำนวน 3.752 ล้านล้านบาท เมื่อมีเงินทุนมหาศาล อะไรก็สามารถทำได้หมด

สิ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดีอย่างยิ่ง คือหลังจากประเทศไทยสั่งตัดไฟฟ้า ตั้งแต่ 09.00 น.วันที่ 5 ก.พ.2568 คืนแรกที่เมืองฝั่งท่าขี้เหล็กของเมียนมาร์ ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงรายของไทย ก็ยังสว่างไสว มีชีวิตชีวาไม่แตกต่างจากคืนก่อนๆ โดยใช้ไฟฟ้าสำรองจากสปป.ลาว ขณะที่ชเวก๊กโก ก็ยังคงสว่างไสวไม่แพ้กัน เนื่องจากได้ซุ่มเตรียมสำรองระบบไฟฟ้า และเครื่องปั่นไฟ รวมทั้งน้ำมันและแผงโซล่าร์เซลล์ ไว้พร้อมรับมือเรื่องนี้นานนับเดือนแล้ว

ฉะนั้น ตราบใดที่ที่ยังไม่ได้ร่วมมือ และบูรณาการกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้ง “พี่ใหญ่”อย่างจีน ที่เคยมีโมเดลถล่มเลาก์เก่าอย่างราบคาบมาแล้ว ตราบนั้น การกำราบแบบหวังผลในทางปฏิบัติจริง ยังจะยากแสนเข็นต่อไป ตรงกันข้าม คนที่ได้รับผลกระทบจริง กลับเป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยพึ่งพิงไฟฟ้า เช่น คนป่วยในโรงพยาบาล หรือสถานศึกษา

ยังไม่นับเรื่องผลประโยชน์มหาศาลที่ ซุกซ่อนและตกหล่นใส่มือของเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจในพื้นที่ ที่อาจยังรอคอยสัญญาณว่าไทยจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน เพราะไม่ใช่ครั้งแรก ที่ทางการไทยใช้วิธีตัดไฟฝั่งเมียนมา

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส

อ่านข่าว : เปิดฉบับเต็มคำพิพากษาจำคุก 2 ปี "พิรงรอง" กับคำว่า "จะล้มยักษ์"

"เสือโคร่งพุเตย" ตายแล้ว คาดการทำงานหัวใจ-ไตผิดปกติ

กางกฎหมาย กสทช. บทบาทคุ้มครองผู้บริโภค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง