ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทวงคืนแชมป์ส่งออกกุ้ง “พาณิชย์” จับมือเอกชน ปรับกลยุทธ์เจาะตลาดโลก

เศรษฐกิจ
27 ม.ค. 68
17:05
109
Logo Thai PBS
ทวงคืนแชมป์ส่งออกกุ้ง “พาณิชย์” จับมือเอกชน ปรับกลยุทธ์เจาะตลาดโลก
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สนค.จับมือเอกชน พัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้ง หาทางทวงแชมป์ส่งออกกลับ หลังเสียส่วนแบ่งตลาดไป50% ให้ "เอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม" จากวิกฤตโรคตายด่วน ปี 2556 แนะกลยุทธ์ รักษาตลาดเดิม รุกตลาดใหม่ ลดต้นทุนการผลิตและขนส่ง

วันนี้ (27 ม.ค.2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกุ้งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้และอาชีพให้คนไทยกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้ง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายโอกาสและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

ล่าสุด สนค. ได้ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย จัดทำรายงานการศึกษา เรื่อง แนวทางการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้ง

จากการศึกษา พบว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2544-2555) การส่งออกกุ้งของไทยเคยครองแชมป์อันดับหนึ่งการส่งออกกุ้งของโลก ในปี 2555 ไทยส่งออกกุ้งเป็นมูลค่า 3,124.25 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 16.5% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของโลก แต่จากการระบาดของโรคตายด่วน (Shrimp Early Mortality Syndrome : EMS)

ในปี 2556-2558 ส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของไทยลดลงกว่า 50% ทำให้ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศผู้ผลิตกุ้งรายสำคัญ เช่น เอกวาดอร์ อินเดีย และเวียดนาม และในปี 2566 ไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับที่ 6 ของโลก รองจากประเทศเอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม จีน และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ด้วยมูลค่า 1,315.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 4.6% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของโลก



ส่วนด้านการผลิต ในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2556-2566) ผลผลิตของไทยค่อนข้างคงที่ ประมาณ 0.27 ล้านตัน สะท้อนว่าการผลิตกุ้งของไทยต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต เช่น ข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงกุ้ง การระบาดของโรคกุ้ง ขาดการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ การจัดการที่ไม่เหมาะสม

รวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น โดยประเทศผู้ผลิตสำคัญที่มีผลผลิตเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ เอกวาดอร์ จีน และอินเดีย ซึ่งในช่วง 5 ปี (2562-2566) มีอัตราผลผลิตเติบโตเฉลี่ยที่ 15.3% 13.0% และ 3.8% ตามลำดับโดยเอกวาดอร์ จีน และอินเดีย ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดกุ้งโลก ด้วยผลผลิตและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การศึกษาลักษณะโครงสร้างการนำเข้ากุ้งของโลกในปี 2566 พบว่า ประเทศผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ มีสัดส่วนการนำเข้ากุ้งจากไทยค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป

โดยอินเดียมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้ากุ้งสูงสุดของโลก 36.41% รองลงมา คือ เอกวาดอร์ 21.72% อินโดนีเซีย 17.71% เวียดนาม 9.98% ส่วนไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียง 5.24%

สำหรับตลาดนำเข้าสำคัญอื่น ๆ เช่น จีน และเกาหลีใต้ แม้จะนำเข้ากุ้งจากไทยในอันดับต้น ๆ แต่ไทยก็มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อย เช่น ตลาดจีน ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5.29% รองจากเอกวาดอร์ และอินเดีย ที่ 58.95% และ 13.17% เกาหลีใต้ ไทยมีส่วนแบ่ง 9.19%

ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่ง 50.67% มีเพียงญี่ปุ่นที่เป็นตลาดศักยภาพและไทยยังสามารถแข่งขันได้ดี โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น อยู่ที่ 16.60% รองจากเวียดนาม 25.31%

นายพูนพงษ์กล่าวว่า ผลการศึกษาได้ชี้ช่องทางการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันสินค้ากุ้งไทยในตลาดโลกผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่หลากหลายและเชิงลึก ทั้งการรักษาตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่เป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้ากุ้งไทยอย่างต่อเนื่อง และขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่มีความต้องการกุ้งที่มีกำลังซื้อสม่ำเสมอ เช่น จีน ยุโรป เกาหลีใต้ และมาเลเซีย โดยปรับกลยุทธ์การตลาดและสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับประเทศดังกล่าว


ขณะเดียวกัน ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้ง รวมทั้งส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้ากุ้งให้เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เนื่องจากมีรสชาติเฉพาะ ซึ่งจะช่วยสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าและทำให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ กุ้งแปรรูปและกุ้งปรุงแต่ง เพื่อดึงดูดความสนใจจากตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร หรือประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น

ไทย ต้องพัฒนาและยกระดับมาตรฐานให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ปัจจุบันเน้นมาตรฐานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานและข้อกำหนดของตลาดหลัก

นอกจากนี้ ต้องสำรวจและเข้าถึงตลาดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันตลาดสำคัญสำหรับสินค้ากุ้งของไทย คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ไทยควรสำรวจตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีความต้องการรับประทานกุ้งอยู่แล้ว แต่ยังสามารถขยายตลาดได้เพิ่มเติม เช่น จีน ตะวันออกกลาง หรือเอเชีย เป็นต้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด และลดการพึ่งพาตลาดเดิม และควรจัดการต้นทุนการผลิตและการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

ส่วนการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้งตลอดห่วงโซ่อุปทาน แยกเป็นด้านการผลิต ควรมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การจัดการผลผลิต การควบคุมโรคระบาด การจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการผลิตอย่างยั่งยืน

ด้านการตลาด ควรส่งเสริมความร่วมมือกับค้าปลีกและค้าส่งในการรับซื้อสินค้า พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรรายย่อยมีช่องทางจำหน่ายสินค้ามากขึ้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์กุ้งไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายตลาดไปยังตลาดส่งออกใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักเดิม พร้อมทั้งเจรจาข้อตกลงการค้าต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน และด้านการบริหารจัดการ ควรปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานแรงงานและความยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลกและสนับสนุนการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้ากุ้ง รวมทั้งสิ้น 1,240.06 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.79% ตลาดหลักที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.สหรัฐฯ มูลค่า 312.95 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 25.24% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของไทย 2.ญี่ปุ่น มูลค่า 308.36 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 24.87% 3.จีน มูลค่า 263.62 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 21.26% 4.เกาหลีใต้ มูลค่า 65.87 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.31% และ 5.ไต้หวัน มูลค่า 65.82 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.31%

อ่านข่าว:

 “ทรัมป์” คืนบังลังก์ เขย่า “เทรดวอร์” สงครามการค้าสะเทือนทั่วโลก

“ชาติศิริ” ชี้มาตรการรัฐหนุน จีดีพีไทยโต 3% จับตา 3 ความท้าทายศก.ไทย

FTA ไทย-เอฟตา ฉบับแรกไทยกับยุโรป โอกาสทองการค้า-ลงทุน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง