วันนี้ (20 ม.ค.2568) นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลา 12.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 24.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ขณะที่ทั่วโลกจับตานโยบายสำคัญ โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศที่จะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% และ ประเทศอื่น 12-20%
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสว่า กรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เชิญนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เข้าร่วมพิธีสาบานในวันนี้ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เดินทางไป แต่เป็นที่ทราบกันว่าผู้นำทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างจะดี
ทั้งนี้ นโยบายที่หาเสียงไว้ ทรัมป์ให้ความสำคัญในเรื่องการค้า การขาดดุลการค้า และความไม่เป็นธรรมในเรื่องการค้า โดยเฉพาะการขาดดุลมหาศาลกับจีน ซึ่งจีนเป็นประเทศเป้าหมายตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยรแรก ที่ได้ประกาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
การกลับมาสมัยที่ 2 ของทรัมป์ น่าจะทวีความเข้มข้นขึ้น และนโยบายนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะเพียงจีน แต่จะรวมทุกประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ซึ่งจะถูกจับตาและมีการต่อรองมาตรการขึ้นภาษีการค้า
ขณะที่ธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า มาตรการขึ้นภาษีกับจีนและประเทศคู่ค้า จะมีผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.4% ลดลงจากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 2.7%
ไม่เฉพาะสหรัฐฯ ที่จะใช้มาตรการขึ้นภาษี ประเทศอื่นอาจตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้การค้าขายทั้งโลกปั่นป่วน และมีแนวโน้มลดลง
ยกตัวอย่างสินค้าจีน ขณะนี้โรงงานของจีนได้เตรียมตัวล่วงหน้า และย้ายฐานการผลิต กระจายการลงทุนในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในอาเซียน รวมถึงประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพื่อเปลี่ยนจุดต้นทางว่ามาจากไทย และส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งในปี 2567 ตัวเลขการการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีอัตราเพิ่มสูงสุดในรอบ 10 ปี หรือมูลค่า 1.13 ล้านล้านบาท
สิ่งเหล่านี้ทรัมป์น่าจะจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจีนที่ใช้ฐานการผลิตในไทย เพื่อ "สวมสิทธิ" สินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ สอดคล้องกับคำประกาศเตือนถึงการตรวจสอบมาตรฐานการผลิตสินค้าจากประเทศต่าง ๆ โดยต้องมีการพูดคุยกับนักลงทุนจีนกรณีการใช้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสินค้า ไม่ใช่ย้ายฐานการผลิตมาไทยแล้วใช้ของจากจีนทั้งหมด
ไทยอยู่ในจอเรดาร์ที่จะโดนสหรัฐฯ เพ่งเล็งและขึ้นภาษีนำเข้า ฉะนั้นเราได้รับผลกระทบแน่นอน ทำให้ต้นทุนของไทยเสียเปรียบ
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า ไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษี เพราะตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งในสมัยแรก ขณะนั้นไทยได้ดุลการค้าอยู่ในอันดับ 14 หรือประมาณ 20,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ต่อมาสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ทดแทนจีน ซึ่งรวมถึงไทยที่ได้อานิสงส์นี้ด้วย ส่งผลให้ในปี 2566 สมัยการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไทยขยับอันดับมาอยู่ที่ 12 และในปี 2567 คาดว่าขยับเป็นอันดัน 9 ซึ่งต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการ
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วิเคราะห์แนวทางลดผลกระทบต่อกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยมียอดส่งออกสินค้าถึง 20% ด้วยความร่วมมือของผู้ประกอบการและภาครัฐในการเร่งหาตลาดใหม่ ๆ ทดแทน เช่นเดียวกับแนวทางของจีนที่ก่อนหน้านี้เคยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ 26-27% และค่อย ๆ ลดลงจนปัจจุบันเหลือที่ 19%
อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องระมัดระวังผลกระทบทางจากกรณีที่จีนเผชิญกำแพงภาษีสหรัฐฯ 60-100% แต่สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ยังคงให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมที่จะผลิตสินค้าจำนวนมหาศาล
สุดท้ายแล้วเมื่อจีนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ จะกลายมาเป็นคู่แข่งการส่งออกของไทยในอาเซียน ทำให้ยอดการส่งออกของไทยลดลง และกังวลว่าสินค้าบางส่วนอาจทะลักเข้าไทย กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เช่นเดียวกับช่วงปลายปี 2567 ที่ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนแล้วกว่า 25 อุตสาหกรรม
อ่านข่าว : สหรัฐฯ ยกระดับความปลอดภัยรับพิธีสาบานตน "ทรัมป์"
ย้อนผลงานสะเทือนโลก เมื่อครั้ง "ทรัมป์" นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก