ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดรับฟังความเห็นบนเว็บไซต์ของ ธปท.ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2567 เพื่อยกร่างแก้ไขหลักเกณฑ์ในประกาศ ธปท. เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงิน โดยเพิ่มความเข้มงวดการโอนเงินออก สำหรับเจ้าของบัญชีบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ และผู้มีอายุต่ำกว่า 15 ปี อาจถูกจำกัดห้ามโอนเงินออกเกินวันละ 50,000 บาท เนื่องจากอาจถูกชักจูงง่าย หรือได้รับผลกระทบรุนแรงในกรณีมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน
ขณะที่ผู้ให้บริการโมบายแบงก์กิ้ง ต้องเพิ่มขั้นตอนการทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงก์กิ้ง โดยใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้า หรือ Face Recognition ร่วมกับการตรวจจับการปลอมแปลงชีวมิติ กรณีโอนเงินออกเกินครั้งละ 50,000 บาท รวมกันเกิน 200,000 บาทต่อวัน รวมทั้งกรณีปรับเพิ่มวงเงินในการโอนต่อวัน
ธปท.ยังกำหนดให้ผู้ให้บริการโมบายแบงก์กิ้ง ต้องพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันโมบายแอปฯ ถูกฝังโค้ดอันตราย ถูกแฮ็ก หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อป้องกันข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหล
นอกจากนี้ โมบายแบงก์กิ้ง อาจใช้งานไม่ได้บนสมาร์ทโฟนที่ถูกเปิดสิทธิการเข้าถึงระบบปฏิบัติการ หรือเจลเบรก ตลอดจนใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS รุ่นเก่า รวมทั้งกรณีเครื่องถูกเปิดสิทธิช่วยเหลือผู้พิการโดยไม่จำเป็น เนื่องจากเป็นช่องโหว่ถูกมิจฉาชีพควบคุมเครื่องจากระยะไกล หรือรีโมท
รายงานจากสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า ธปท.น่าจะประกาศใช้มาตรการนี้ในช่วงปลายเดือน ม.ค.2568 พร้อมกำหนดให้ผู้ให้บริการนอนแบงก์ในกำกับดูแล ต้องยกระดับมาตรฐานเดียวกันนี้ภายในไตรมาสแรกของปี 2568 เช่นกัน
ส่วนการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สถาบันการเงินรับผิดชอบกรณีเกิดความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการถอดกรณีศึกษาจากประกาศมาตรฐานความปลอดภัยของสิงคโปร์ ประกอบการกำหนดหลักเกณฑ์ และขอบเขตความรับผิดชอบ หากเกิดข้อบกพร่องจากส่วนใด หน่วยงานนั้นต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบความเสียหายต่อผู้เสียหาย ไม่ใช่การกำหนดให้ธนาคารเป็นผู้ชดใช้ 100%
นอกจากนี้ ในร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ยังเพิ่มบทลงโทษกรณีการขายข้อมูลลูกค้า เนื่องจากเป็นช่องโหว่สำคัญให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเมื่อมิจฉาชีพสามารถบอกข้อมูลส่วนตัวได้
อ่านข่าว : สภาพอากาศวันนี้ สัมผัสอากาศเย็นในตอนเช้า รับเทศกาล "ปีใหม่"
"ชัชชาติ" สั่งเช็กอาคาร-ทางหนีไฟปมไฟไหม้ รร.ต่างชาติดับ 3
คนขับก้มเก็บมือถือ รถบัสชนท้ายรถบรรทุก นทท.ต่างชาติเจ็บ 17 คน