นับเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยของ “วิทยากร มณีเนตร” อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เมื่อต้องรับภารกิจหนัก กำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค และควบคุมสินค้าการเกษตรเพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อชีวิตประชาชน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และอาจต้องเจอมาตร การกีดกันภาษีจากประเทศมหาอำนาจ ในปี 2568
แม้ตามวงรอบราชการ “วิทยากร” จะเติบโตมาจาก สายงานด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เคยดำรงตำแหน่งทูตพาณิชย์ที่ดูไบ-ฮ่องกง ขยับเข้าสู่ไลน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่ข้ามฟากมาดูแลค่าครองชีพ กรมปากท้องของประเทศ
นายวิทยากร ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามสถานการณ์การผลิตและการค้าสินค้าหอมแดง
“ไทยพีบีเอสออนไลน์” เปิดใจ “วิทยากร มณีเนตร” อธิบดีป้ายแดง กรมการค้าภายใน ถึงนโยบายการทำงานปี 2568 ว่า ช่วงต้นปีต้องตรวจเข้มราคาสินค้า กระเช้าของขวัญ และหัวจ่ายน้ำมันในปั๊มต่าง ๆ จำนวน 2,000 แห่ง ที่อยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ตามจุดหลัก ๆของไทย
ส่วนการลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน จะมีการจัดกิจกรรมส่งท้ายปลายปี ภายใต้แคมเปญ MEGA MID-YEAR SALE โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และผู้ประกอบการ 312ราย นำสินค้ามาลดราคามากกว่า 40,000 รายการ จนถึง 31 ม.ค.2568 คาดว่า จะลดค่าครองชีพให้ประชาชน 4,800 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 14,400 ล้านบาท
สำหรับสินค้าที่นำมาจัดรายการ มีตั้งแต่สินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าจำเป็นจากชุมชน หรือหมู่บ้าน และผู้ผลิต โมเดิร์นเทรด ต่าง ๆ เพื่อคืนความสุขและเป็นของขวัญปีใหม่ และยังเตรียมพร้อมในช่วงทศกาลตรุษจีน หรือช่วงที่มีปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ในรูปแบบกิจกรรม งานธงฟ้าคาราวานธงฟ้า เพื่อนำไปจำหน่ายตามจุดต่าง ๆ
คอนเซ็ปต์ “ทำได้ ทำไว ทำจริง” แก้ปัญหาหลัก “ราคาข้าว”
แม้จะรับตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายในนานกว่า 2 เดือนแล้ว แต่ “วิทยากร” เล่าว่า เหมือนทำงานนานเป็นปี หากงานใดไม่ได้รับการแก้ไขเกรงว่า เกษตรกร ประชาชนจะได้รับความเดือนร้อน จึงต้องทำงานให้ออกมาดีที่สุด และมีการกำหนดกรอบนโยบาย แผนงาน และมาตรการบริหารจัดการ สินค้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม และสินค้าเกษตรอื่น ๆ
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน
โดยเฉพาะสินค้าหลัก อย่าง “ข้าว” ได้พบผู้ประกอบการรายเล็ก สถาบันเกษตรกร เพื่อรับทราบปัญหา ข้อเสนอแนะ ก่อนที่จะทำมาตรการดูแลข้าวเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) พิจารณา รวมทั้งเรื่องเงินช่วยค่าบริหารจัดการไร่ละ 1 หมื่นบาทไม่เกิน 10 ไร่
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎหมายการค้าข้าว เพื่อลดขั้นตอน และภาระในการขออนุญาตเป็นผู้ประกอบการค้าข้าว ประเภทส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้ามาเป็นผู้ส่งออกข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยจะปรับลดปริมาณการเก็บสต๊อกจาก 500 ตัน เหลือ 100 ตัน และลดค่าธรรมเนียมการขอเป็นผู้ประกอบการค้าข้าว จาก 50,000 บาท เหลือ 20,000-30,000 บาท
โดยต้องดูทุนจดทะเบียนของแต่ละบริษัท เช่น หากมีทุนจดทะเบียนมากกว่า 10 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมคงไว้ที่ 50,000 บาท แต่ถ้าทุน 5-10 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม จะลดลงเหลือ 30,000 บาท และถ้าต่ำกว่า 5 ล้านบาท อาจลดค่าธรรมเนียมเหลือ 20,000 บาท
ข้าวไทย
ทั้งนี้กรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้ปรับปรุงพ.ร.บ.ข้าวที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศมากขึ้น และจำนำรายละเอียด ของพ.ร.บที่ปรับปรุงใหม่ เสนอต่อประชุมคู่ขนานกับการเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณา และใช้เวลาในการทำประชาพิจารณ์ประมาณ 15 วัน คาดจะเสนอต่อรมว.กระทรวงพาณิชย์ ให้นำร่างเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเห็นชอบ และสามารถประกาศใช้ได้ประมาณ เดือนม.ค.หรือต้นก.พ.2568
ส่วนการติดตามประเมินผลเกษตรกรรายเล็ก ต้องดู มีประเด็นใดบ้าง โดยสิ่งที่ให้ความช่วยเหลือต้องตรงกับสิ่งที่เขาต้องการให้เหมาะสมและปรับให้เข้ากับสถานการณ์โลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
วิทยากร บอกอีกว่า ในปีหน้าเกษตรกรอาจพอใจกับราคาข้าวเปลือก เช่น ข้าวหอมมะลิ นาปี ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 15,500-16,000 บาท ซึ่งผู้ส่งออกและโรงสี น่าจะพอใจกับราคาและคุณภาพ และผลผลิตจากมันสำปะหลัง หลังประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีน ได้นำเข้ามันเส้นเพื่อนำไปผลิตเอสทานอล ทำให้ราคามันสำปะหลังไทยดีดตัวขึ้น
ในปีนี้จีนกลับหันไปปลูกข้าวโพดในประเทศ เพื่อทดแทนมันสำปะหลัง ทำให้การซื้อ-ขาย ค่อนข้างติดขัด และราคาในประเทศตกต่ำ คาดสัปดาห์หน้าจะมีการหารือกับสมาคมอาหารสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทย สภาหอ การค้า เพื่อผลักดันให้มันสำปะหลังเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศด้วย
รื้อให้ปัง “มิส-มิสเตอร์”กำกับสินค้าเกษตร
สำหรับแผนการดูแลเกษตรกร วิทยากร เล่าว่า จะจัดตั้งมิส และมิสเตอร์ให้ดูแลสินค้าเกษตรเป็นรายตัว เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ผลไม้ พืช 3 หัว และปศุสัตว์ โดยมีรองอธิบดีกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง
“มิส และมิสเตอร์ จะต้องรู้ลึก รู้จริง รู้จักสินค้านั้น ๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น ราคาเมล็ดพันธุ์ ราคาตลาด ตลาดในประเทศและต่างประเทศ ต้นทุนการผลิต คู่แข่ง เทรนด์ตลาดโลกเป็นอย่างไร สินค้านั้น ๆ ใช้ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง คือ ต้องรู้จักสินค้าให้ครบถ้วน หากมีปัญหาจะได้บริหารจัดการและแก้ไขได้ถูกต้อง
พริกขี้หนูสวน
นอกจากนี้มีแผนปรับภาพลักษณ์ รีแบรนด์ ”งานธงฟ้า” จากขายสินค้าราคาถูก เป็นฉลาดเลือก -ฉลาดซื้อ เนื่องจากประชาชนมักมองว่า งานธงฟ้า คือ งานขายสินค้าราคาประหยัด แต่จริง ๆ ในงานมีสินค้าที่มีคุณภาพนำจำหน่ายมากมาย เช่น นำไข่ไก่เบอร์ 2 และเบอร์ 3 มาขาย ในราคา ถูกกว่า เบอร์ 0 เบอร์ 1และมีคุณค่าทางทางโภชนาการครบถ้วน
รวมทั้งการปรับเป็นเวทีสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ผ่านมา มีหลายรายแจ้งเกิดจากงานธงฟ้า โดยกรมฯจะโอนงบประมาณการจัดงานธงฟ้าให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อพิจารณาจัดงานธงฟ้าตามความเหมาะสม ไม่ต้องรอส่วนกลาง แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถของบเพิ่มเติมได้
ดันมาตรฐาน “ชั่งตวงวัด” เทียบสากล
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังเล่าอีกว่า มีแผนที่จะพัฒนามาตราฐาน “ชั่งตวงวัด” ให้เทียบเท่าสากล โดยยึดมาตรฐานเยอรมัน เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นต้นแบบ เพื่อนำมาปรับมาตรฐานของไทย และผลักดันให้ประเทศเพื่อนบ้านใช้ได้ด้วย โดยเริ่มใช้กับสปป.ลาว ตามด้วย กัมพูชาและฟิลิปปินส์เพื่อให้สินค้าไทยที่ถูกนำไปจำหน่ายใช้มาตรฐานเดียวกันกับของไทย ช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบ ทำให้ค้าขายสะดวกขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับแผนดำเนินงาน เรื่องการตรวจสอบหัวจ่ายปั๊มน้ำมัน โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ตรวจสอบแทนเจ้าหน้าที่ เพื่อลดระยะเวลา และตรวจสอบให้ได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน มีปั๊มน้ำมันกว่า 20,000 ปั๊ม มีหัวจ่ายกว่า 500,000 หัวจ่าย มีค่าตรวจหัวจ่ายละ 250 บาท แต่ละปีตรวจได้ประมาณ 100,000 หัวจ่าย เก็บค่าธรรมเนียมได้ 25 ล้านบาท
หากมีเอกชนมาตรวจแทนจะสามารถทำให้เร็วขึ้น โดยตั้งเป้ารายให้มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และยังมีแผนตรวจเครื่องชั่งตวงวัดอีก 6 ชนิด ได้แก่ มาตรวัดไฟฟ้า แท็กซี่มิเตอร์ EV Charger เครื่องวัดลมยางรถยนต์ เครื่องวัดความเร็วรถยนต์ และเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ส่วนตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ได้หารือทำมาตรฐานกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้ว เพื่อสร้างมาตรฐานการตรวจสอบ
ปาล์ม
มันสำปะหลัง
คุมพืช 3 หัว "ศรีษะเกษ"ไม่ให้ราคาตก
วิทยากร กล่าวอีกว่า สำหรับสินค้าเกษตรท้องถิ่นได้เตรียมมาตรการดูแล หอม แดง ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดแล้ว โดยประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวมห้างค้าส่งค้าปลีก และโรงงานแปรรูป เข้าไปรับซื้อผลผลิต ใน จ.ศรีสะ เกษ แหล่งผลิตใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อกระจายผล ผลิตออกนอกแหล่งผลิตอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล
โดยผู้ประกอบการแจ้งว่าปีนี้ผลผลิตหอมแดงมีคุณภาพดี เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ทำให้ผลผลิตหอมแดง ทั้งขนาดกลาง-ใหญ่ ซึ่งเกษตรกรสามารถขายได้ในราคา 15-18 บาท/กิโลกรัม (กก.) และหอมแดงแห้ง ขายได้ในราคา 35-40 บาท/กิโลกรัม แต่ขณะนี้ ราคาได้ ปรับลดลงบ้างตามปริมาณผลผลิตที่ออกมาก แต่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง หลังผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อ และจะมีการรับซื้อต่อเนื่อง จนจบฤดูกาล
รวมทั้งการระบายผลผลิตผ่านผู้ประกอบการที่เข้าไปรับซื้อ ส่งห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น โรงงานแปรรูป และนำไปจำหน่ายผ่านงานธงฟ้า และโมบายพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนบริโภคหอมแดงคุณภาพดีจาก จ.ศรีสะเกษ โดยใช้หอมแดงเป็นของขวัญปีใหม่ ซึ่งผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดมาก ช่วงเดือน ธ.ค. 2567-ม.ค.2568
ทั้งนี้ผลผลิตหอมแดงของประเทศไทยในภาพรวม มีปริมาณ 152,221 ตัน โดย จ.ศรีสะเกษเป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ปริมาณรวม 80,771 ตัน หรือร้อยละ 53 โดยในปี 2568 คาดการณ์ว่าผลผลิตหอมแดงมีปริมาณ 152,221 ตัน เพิ่มขึ้น 3,982 ตัน หรือร้อยละ 2.69 จากปี 2567 ซึ่งแหล่งผลิตสำคัญอยู่ในพื้นที่ อ.ราษีไศล, ยางชุมน้อย, และกันทรารมย์
ผลผลิตที่ออกสู่ตลาด เมื่อเดือนพ.ย. 2567 เป็นผลผลิตที่เรียกว่า “หอมซิ่ง” ผลผลิตที่เกษตรกรปลูกระยะสั้น 45-50 วัน เพื่อสร้างรายได้ช่วงระยะเวลาสั้น เป็นหอมเกรดคุณภาพต่ำ ตลาดรับซื้อมีจำกัด เกษตรกรขายได้ราคา ประมาณ 8-9 บาท/กก.
ส่วนผลผลิตหอมแดงคุณภาพจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาด ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา และปัจจุบันหอมแดงใน อ.ยางชุมน้อย และ อ.กันทรารมย์ เริ่มออกผลผลิตมากแล้ว ขณะที่ส่วนของอ.ราษีไศล จะเริ่มออกมากในช่วงปลาย ธ.ค. 2567
ทั้งหมดเพียงสวนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ “พ่อบ้านกรมการค้าภายใน” ที่ต้องเร่งทำงานในปีหน้า เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและเกษตรกร ถือเป็นความท้าทายและพิสูจน์ตัวตน “คนราชการ” ในอีกบทบาทหนึ่ง
อ่านข่าว:
ศึกสิบทิศ “ข้าวไทย” 2568 “สต็อก” โลกล้น เขย่าธุรกิจวงการค้า
SME หนีตายแข่งขันค้าโลก ใช้ FTA ลดเสี่ยงภาษีสูง "ทรัมป์ 2.0 "
“พิชัย นริพทะพันธุ์” วานิชย์ สู่ ธนกิจการเมือง คุมปากท้องชาวบ้าน