กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล ถึงนักแสดงหญิงคนหนึ่ง ให้สัม ภาษณ์ว่าเคยผ่านการทำ IVF มาถึง 4 ครั้ง โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับสามี จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการทำ IVF จะต้องมีการจดทะเบียนสมรสหรือไม่นั้น
วันนี้ (13 ธ.ค.2567) ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า สภาวะสังคมปัจจุบันที่หลายครอบครัวประสบปัญหาภาวะ “มีบุตรยาก” เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถือเป็นความหวังในการช่วยให้ครอบครัวเหล่านี้ได้มีบุตร เพื่อการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ด้วยการนำไข่และอสุจิมาผสมกัน ให้มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดตัวอ่อน แล้วนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของภริยาเพื่อให้เกิดการฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
ในการขอรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ทั้งในส่วนของผสมเทียมและเด็กหลอดแก้วในสถานพยาบาลไทยนั้น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 กำหนดให้จะต้องกระทำในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ซึ่งปัจจุบันมี 115 แห่ง
นอกจากนี้จะต้องกระทำในคู่สามีภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศและกฎหมายไทยให้การรับรองเท่านั้น ไม่สามารถให้คู่สามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกระทำได้
ทันตแพทย์อาคม กล่าวอีกว่า แพทย์ผู้ให้บริการจะต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อมก่อนให้บริการ เช่น ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ปัจจัยด้านครอบครัว เศรษฐานะ อาชีพ กรณีที่พบความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์เพิ่มเติม ซึ่งการประเมินผู้รับบริการตามที่กฎหมายกำหนดนั้น
นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้รับบริการในการช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย
ทั้งนี้ สบส.ย้ำให้ผู้ประกอบกิจการ และผู้ดำเนินการสถานพยาบาลทุกแห่งกวด ขันการให้บริการเทคโนโลยีช่วยทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในการดูแลของตนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้รับบริการถึงเงื่อนไขในการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในไทย