เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2567 สำนักข่าว Chinadaily รายงานว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อ "โนโรไวรัส" ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอาเจียนและท้องเสียรุนแรง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในกลุ่มเด็ก โดยมีโรงเรียนหลายแห่งรายงานการติดเชื้อแบบกลุ่ม และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสุขอนามัยมือเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง รายงานว่ามีการระบาดของโนโรไวรัสในโรงเรียน โดยได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ควบคุมโรค ทั้งนี้ ทางโรงเรียนได้ระงับการเรียนการสอนในห้องเรียนที่มีเด็กติดเชื้อ แม้ผู้ป่วยทั้งหมดจะมีอาการเพียงเล็กน้อยและอยู่ในสภาวะที่ทรงตัว โรงเรียนไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ติดเชื้อที่แน่ชัด
ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น มีนักเรียน 11 คนจาก 3 ห้องเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีอาการอาเจียน ซึ่งข้อมูลนี้มาจากสำนักงานการศึกษาท้องถิ่น นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กในมณฑลส่านซี ยูนนาน และหูเป่ย ต่างก็มีรายงานการระบาดของโนโรไวรัส
ที่ศูนย์เด็กเล็กแห่งหนึ่งในเมืองซีอาน มณฑลส่านซี พบเด็กติดเชื้ออย่างน้อย 48 รายในช่วงกลางเดือน ต.ค.
ผู้เชี่ยวชาญชี้ "โนโรไวรัส" ระบาดช่วงฤดูหนาว
เผิง จื้อปิน นักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศจีน (CDC) อธิบายว่า โนโรไวรัสเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการอักเสบเฉียบพลันในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โรคนี้สามารถระบาดได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอัตราการติดเชื้อสูงสุดในช่วงเดือน ต.ค.-มี.ค.
โนโรไวรัสเป็นเชื้อที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก และสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสอาหาร น้ำ หรือพื้นผิววัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการสัมผัสกับอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ติดเชื้อ
สำหรับอาการของโรค ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ในกลุ่มเด็กจะพบอาการอาเจียนเป็นหลัก ขณะที่ในผู้ใหญ่มักมีอาการท้องเสีย อาการอื่น ๆ ที่พบได้ทั่วไปคือ คลื่นไส้ ปวดท้อง ไข้ และปวดกล้ามเนื้อ แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากการติดเชื้อในระยะเวลาเพียง 2-3 วัน แต่ในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดน้ำ อาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
เผิง เน้นย้ำว่าการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำไหลก่อนการเตรียมอาหารหรือรับประทานอาหาร รวมถึงหลังการใช้ห้องน้ำ เป็นวิธีป้องกันโรคที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นในระหว่างที่ยังมีอาการ และอย่างน้อย 2-3 วันหลังจากอาการหายไป เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
ดร.หลี่ เหวินจุน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากโรงพยาบาลปักกิ่ง อธิบายว่าโนโรไวรัสเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี มันสามารถทำให้เกิดการระบาดใหญ่ในชุมชน โรงเรียน และสถานพยาบาลได้ ขณะที่ ดร.เจนนิเฟอร์ โคล แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวเสริมว่าแม้โนโรไวรัสจะไม่ใช่โรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบสาธารณสุขนั้นใหญ่หลวงอย่างยิ่ง
ความท้าทายในการพัฒนาวัคซีน "โนโรไวรัส"
โนโรไวรัส ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลก แม้จะมีความพยายามในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโนโรไวรัสที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในวงกว้าง
โนโรไวรัสมีสายพันธุ์ย่อยจำนวนมาก การพัฒนาวัคซีนที่ครอบคลุมทุกสายพันธุ์เป็นเรื่องยาก ทำให้การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ต่อโนโรไวรัสมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อมของไวรัสชนิดนี้ ทำให้การผลิตและการเก็บรักษาวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่การวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโนโรไวรัสยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
- วัคซีนโปรตีน : เป็นวัคซีนที่ใช้โปรตีนจากโนโรไวรัสในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
- วัคซีนเชื้อตาย : เป็นวัคซีนที่ใช้โนโรไวรัสที่ถูกทำให้ตายแล้วในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
- วัคซีนดีเอ็นเอ : เป็นวัคซีนที่ใช้ดีเอ็นเอของโนโรไวรัสในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
องค์การอนามัยโลกเผย แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโนโรไวรัสที่พร้อมใช้งาน แต่ความหวังในการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพยังคงมีอยู่ การป้องกันตนเองจากการติดเชื่อโนโรไวรัสยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยการปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น การล้างมือบ่อย ๆ การปรุงอาหารให้สุก การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดอยู่เสมอ
รู้หรือไม่ : หลายคนมักจะสับสนระหว่าง "โนโรไวรัส" กับ "ไรโนไวรัส" ทั้ง 2 เป็นไวรัส แต่ก่อให้เกิดโรคที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง 2 ไวรัสนี้ จะช่วยให้ผู้ปกครองดูแลสุขภาพบุตรหลานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
โนโรไวรัส เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง มักเรียกกันติดปากว่า "ไข้หวัดกระเพาะ" และมักพบในเด็กเล็กบ่อยครั้ง เนื่องจากเด็กยังไม่ค่อยระวังเรื่องสุขอนามัยเท่าผู้ใหญ่
ไรโนไวรัส เป็นสาเหตุหลักของโรคหวัดธรรมดา ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ซึ่งเป็นอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ที่มา : Chinadialy , องค์การอนามัยโลก
อ่านข่าวอื่น :
"ยุน ซอก-ยอล" สู้จนวินาทีสุดท้าย ลั่นกฎอัยการศึกปกป้องประเทศ
นิตยสารไทม์ยกให้ "โดนัลด์ ทรัมป์" เป็นบุคคลแห่งปี 2024
ผลสอบสวนโรคครู-นร. "1,436" ป่วยอุจจาระร่วง ต้นตอน้ำ-น้ำแข็ง