จากกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ดิ ไอคอนกรุ๊ป” เท่ากับเป็นอีกแรงกดดันล่าสุด ที่ถาโถมเข้าใส่พรรคพลังประชารัฐ นับตั้งแต่ถูกผลักออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
ผลพวงจากคลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์ของนักการเมือง จากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุลผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป ที่ถูกเผยแพร่ออกมา และกำลังกลายเป็นประเด็นร้อน โดยสายตาผู้คนและคอการเมืองส่วนหนึ่ง พุ่งเป้าไปยังคนในพรรคพลังประชารัฐ
ว่า เป็นหนึ่งในเจ้าของคลิปเสียงดังกล่าวหรือไม่ กระทั่งรองโฆษกพรรค นายสามารถ เจนชัยจิตวณิช ต้องออกปฏิเสธอีกครั้งว่า ไม่ใช่เจ้าของเสียงในคลิปสนทนา และยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อนายสามารถปฏิเสธแข็งขัน แล้วคู่สนทนาในคลิปเสียง และเรียกรับเงินจากนายวรัตน์พลเป็นใคร จึงดังขึ้นตามมา ทำให้ด้านหนึ่ง เป็นเรื่องที่ตำรวจหรือดีเอสไอ (หากได้รับคดีนี้ไปทำต่อ) ต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้กระจ่าง เพราะอย่างน้อย 1 คนที่รู้แน่ ๆ ว่าเป็นใคร คือนายวรัตน์พลเอง ที่ได้ยอมรับว่า เป็นเจ้าของเสียงคู่สนทนาในคลิป แต่จะเปิดปากหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
กับอีกด้านหนึ่ง ต้องอาศัยการเคลียร์ข้อเท็จจริง โดยพรรคพลังประชารัฐเอง หลังจาก “ทัวร์ลง” จากเรื่องดังกล่าวนี้ กระทั่ง โฆษกพรรค พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ต้องออกโรงมาเคลียร์เพื่อยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ และ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมย้ำว่า พรรคมีมาตรฐานทางจริยธรรมสูง หากสมาชิกพรรคทำผิดกฎหมายหรือข้อบังคับพรรค ต้องถูกลงโทษไม่มียกเว้น
แต่ไม่วายจะย้ำว่า ให้รอผลการตรวจสอบจากสภาฯ เสียก่อน หลังจากก่อนหน้านี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ได้สั่งให้สภาฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว
ไม่แตกต่างจากนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่สำทับอีกแรง แต่ที่มีเพิ่มเติม คือโบ้ยให้ไปถามนายวรัตน์พล หรือ “บอสพอล” ว่า ได้จ่ายเงินให้กับใครไปบ้าง ต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน รวมทั้งบุคคลที่ถูกพาดพิงถึง ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์หรือไม่
เมื่อพูดถึงเรื่องการตรวจสอบของทางการ ซึ่งน่าจะรวมถึงสภาฯ ด้วย มักจะมีประเด็นข้ออ้างคลิปถูกตัดต่อหรือไม่ อยู่เนือง ๆ อีกประเด็นที่จะเป็นข้ออ้าง คือคำถามเป็นฝีมือของเอไอหรือไม่ ยิ่งกรณีหลังดูจะเป็นข้ออ้างที่นักการเมืองมักพูดถึงบ่อย เมื่อมีเมื่อคลิปภาพหรือคลิปเสียงพาดพิงไปถึง ถือเป็นด่านหินขวางกั้น 2 ชั้น จึงไม่ใช่ง่ายนักที่จะได้ผล
ประกอบกับเรื่อง “เงิน” มักไม่เข้าใครออกใคร เมื่อเรื่องสร่างซาลง คนก็เริ่มลืม อำนาจเงินก็กลับมาทำหน้าที่ให้เกิดความบิดเบี้ยวเหมือนเดิม
ดังนั้นเรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร เป็นสำคัญ ถือเป็นการวัดใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่มีอำนาจตัดสินใจและสั่งการอะไรได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ถูกไม่ควร หรือมีผลกระทบต่อภาพพจน์ชื่อเสียงของพรรค
ความจริง “ลุงป้อม” เมื่อครั้งเป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีกลาโหม ดูแลด้านความมั่นคงให้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความเด็ดขาด ทั้งในด้านการรับมือและสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมคนรุ่นใหม่จนอยู่หมัด แม้แต่จะกินแซนด์วิช หรือไปยืนชู 3 นิ้วที่บริเวณสยามสแควร์ ก็ยังไม่ได้
ขณะเดียวกัน ยังจัดการที่เด็ดขาดกับ สส.ที่แหกมติพรรค โดยเฉพาะ สส.กลุ่มดาวฤกษ์ ที่นำโดย น.ส.วทันยา วงษ์โอภาษี (นามสกุล ณ ขณะนั้น) หลังสวนมติพรรค ไปงดออกเสียง ในการลงมติให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อต้นปี 2564 โดยให้ถอดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และไม่ให้รับตำแหน่งทางการเมืองอื่น จน “มาดามเดียร์” ต้องย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐในเวลาต่อมา
แม้เหตุการณ์ครั้งก่อนกับปัจจุบัน จะมีบริบทและสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจแตกต่างกัน รวมทั้งอำนาจบารมีของ “ลุงป้อม” ในพรรคพลังประชารัฐจะยังเต็มเปี่ยม ต่างจากปัจจุบันที่เสื่อมถอยลงอย่างชัดเจน แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
อยู่ที่การตัดสินใจที่เด็ดขาดต่างหาก ว่าจะเลือกปกป้องใครคนใดคนหนึ่ง หรือจะเลือกข้างประชาชนผู้เดือดร้อน
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : สธ.-ปคบ.ลุยตรวจคลินิกโยง "เอก ดิไอคอน" จ่อเอาผิดปมหมอเถื่อน-สปา
