เสือโคร่งเวียดนามตายครึ่งร้อย หลังพบ "ไข้หวัดนก" H5N1 ระบาด

ต่างประเทศ
4 ต.ค. 67
14:09
165
Logo Thai PBS
เสือโคร่งเวียดนามตายครึ่งร้อย หลังพบ "ไข้หวัดนก" H5N1 ระบาด
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สวนสัตว์ทางตอนใต้ของเวียดนามกำลังเผชิญปัญหาการระบาดของ "ไข้หวัดนก" หลัง เสือ สิงโต เสือดำ ตายนับ 50 ตัว คาดว่าต้นตอของปัญหามาจากการกิน "เนื้อไก่สด" ที่มีการปนเปื้อนของไวรัส H5N1

วันนี้ (4 ต.ค.2567) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีสิงโต 3 ตัว เสือดำ 1 ตัวพร้อมด้วยเสือโคร่ง 47 ตัวตายจากโรคไข้หวัดนกนับตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา

การระบาดของไวรัส H5N1 พาหะก่อโรคไข้หวัดนก เกิดขึ้นในสวนสัตว์ Vuon Xoai ใกล้กับนครโฮจิมินห์ และสวนสัตว์ซาฟารี My Quynh ใน จ.Long An ที่อยู่ติดกัน เจ้าหน้าที่สวนสัตว์กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า สัตว์เหล่านี้น่าจะล้มป่วยหลังจากที่กินเนื้อไก่ที่ติดเชื้อเป็นอาหาร

กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามกล่าวว่า 2 ตัวอย่างที่เก็บจากเสือที่ตายแล้วมีผลตรวจเชื้อไข้หวัดนกเป็นบวก และเจ้าหน้าที่กำลังตามหาแหล่งที่มาของไก่ตัวดังกล่าวเพื่อหาสาเหตุ

คำแนะนำบนเว็บไซต์องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนไม่ให้บริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ดิบหรือปรุงไม่สุก ในภูมิภาคที่ประสบปัญหาไข้หวัดนก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง ไวรัสสายพันธุ์ H5N1 จะติดเชื้อในสัตว์เป็นหลัก และ WHO กล่าวว่าการติดเชื้อใน "มนุษย์" เกือบทุกกรณีเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับนกที่มีเชื้อทั้งที่ยังมีชีวิตและตาย 

ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีรายงานการระบาดร้ายแรงของไวรัสไข้หวัดใหญ่ รวมถึง H5N1 มากขึ้นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนับตั้งแต่ปี 2546 หรือประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการติดเชื้อของมนุษย์เกือบ 900 ราย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเสียชีวิต

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ฟาร์มต้องดูแลสัตว์อย่างไรให้ปลอดภัยจาก H5N1

การป้องกันสัตว์ในฟาร์มจากการติดเชื้อไวรัส H5N1 (ไข้หวัดนก) จำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมโรคและการจัดการสุขอนามัยในฟาร์ม 

1.ควบคุมการเข้าออกฟาร์มอย่างเคร่งครัด ผู้ที่เข้ามาในฟาร์มควรสวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกัน ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในฟาร์มด้วยการฆ่าเชื้อก่อนและหลังใช้งาน

2.หากพบว่าสัตว์มีอาการป่วย ควรแยกออกจากฝูงทันที ให้สัตวแพทย์ตรวจสอบ สัตว์ที่ติดเชื้อไข้หวัดนกต้องทำลายทิ้ง และจัดการซากสัตว์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

3.ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสถานที่เลี้ยงสัตว์ โรงเรือน และอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงสัตว์เป็นประจำ

4.ตรวจสอบสุขภาพสัตว์เป็นประจำ หมั่นสังเกตอาการที่อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ เช่น ซึม ไม่กินอาหาร หรือการหายใจลำบาก หากพบสัตว์ต้องสงสัย รีบแจ้งหน่วยงานหรือสัตวแพทย์ทันที

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

แนวทางป้องกันตนเองจาก H5N1

การป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ทำงานในฟาร์มสัตว์ปีก หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด 

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการรายงานการระบาดของโรค
  2. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลล้างมือแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์ร้อยละ 60 ขึ้นไป) หลังจากสัมผัสสัตว์ปีก
  3. ไม่ควรสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก ด้วยมือที่ไม่สะอาด
  4. ปรุงอาหารจากสัตว์ปีกให้สุกเต็มที่ เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสที่อาจปนเปื้อน
  5. หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ให้สวมหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกัน
  6. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แม้จะไม่มีวัคซีนสำหรับ H5N1 โดยเฉพาะ แต่การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ อาจช่วยลดความเสี่ยงได้
    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

หากติดเชื้อ H5N1 ต้องทำอย่างไร ?

  • หากสงสัยว่าติดเชื้อ H5N1 หรือมีอาการที่คล้ายไข้หวัดนก (ไข้สูง ไอ หายใจลำบาก)ให้รีบพบแพทย์ทันที
  • แพทย์ตรวจวินิจฉัยและอาจจ่ายยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir (Tamiflu) เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส ผู้ป่วยควรกินยาตามแพทย์สั่ง และติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด
  • ผู้ป่วยควรกักตัวในที่พักอาศัย ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  • สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือเป็นประจำ หากต้องติดต่อกับผู้อื่น
  • หากมีอาการหนัก เช่น หายใจลำบาก ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ที่มา : 
-องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (Office International des Epizooties; OIE)
-องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization - FAO)
-ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention - CDC)
-กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
-BBC

ข่าวที่เกี่ยวข้อง