"Burnout" หรือ "ภาวะหมดไฟ" หมายถึง สภาวะทางร่างกายและจิตใจที่ถูกทำให้เหนื่อยล้าและหมดพลังงานจากการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน การหมดไฟไม่ใช่แค่ความรู้สึกเหนื่อยล้าธรรมดา แต่เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบในระดับที่รุนแรงมากกว่าการเหนื่อยล้าทั่วไป โดยเฉพาะในเรื่องของงาน ความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
Work ไร้ Balance สาเหตุหลักคนหมดไฟ
เหตุผลหลักซึ่งทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ปริมาณงานและคนที่ไม่สมดุลกัน รวมทั้งการใช้เครื่องมือหรือระบบที่ไม่เหมาะสม ทำให้ลดเวลาและกระบวนการทำงานไม่ได้ หัวหน้างานขาดความรับผิดชอบ ไม่ฟังความคิดเห็น และโครงสร้างองค์กรที่ไม่มีความยืดหยุ่น สถานการณ์ Burnout Syndrome ในประเทศไทยน่ากังวลไม่น้อย ผลสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนวัยทำงานใน กทม. ร้อยละ 12 อยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงาน และร้อยละ 57 มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะหมดไฟ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhT5UmwR6Coh1N2ljPfggKztNRY2.jpg)
ที่น่าสังเกตคือ ยิ่งอายุน้อยยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็น Burnout Syndrome สูง โดยกลุ่มเจน Z (ช่วงอายุต่ำกว่า 22 ปี) กำลังตกอยู่ในภาวะหมดไฟมากที่สุดถึงร้อยละ 17 กลุ่มเจน Y หรือช่วงอายุ 23 - 38 ปี ร้อยละ 13 ส่วนกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือช่วงอายุ 55 - 73 ปี อยู่ในภาวะหมดไฟเพียงร้อยละ 7 หากแยกเป็นกลุ่มอาชีพ คนที่มีภาวะ Burnout Syndrome มากที่สุดคือ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 77 ถัดมาเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 73 ข้าราชการ ร้อยละ 58 และธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 48
อาการของคนหมดไฟ
อาการของภาวะหมดไฟมีหลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งเป็นอาการทางกาย ผู้ที่เริ่มเข้าสุ่ภาวะหมดไฟจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ส่วนอาการทางจิตใจ จะรู้สึกหมดพลังงาน ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการยอมรับหรือความสำเร็จ ขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และรุนแรงถึงขึ้นคิดลาออก
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhT5UmwR6Coh1N2fmBBponlKxjNT.jpg)
หมดไฟก็หมดใจ ไร้พลังทำงาน
- ผลการปฏิบัติงานและประสิทธิภาพของงานลดลง ซึ่งจะกระทบไม่เฉพาะแต่งานในอาชีพของตน แต่จะกระทบทีมงาน และองค์กรด้วย
- ความคิดสร้างสรรค์ลดลง ขาดแรงจูงใจและความสนใจ ทำให้ขาดโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อองค์กร
- ส่งผลต่อความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานและองค์กร รวมถึงคนในครอบครัว
- ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhT5UmwR6Coh1N2jxKzK0BfM3aes.jpg)
How to เติมไฟก่อนไฟมอด
ข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุผลสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า คนที่อยู่ในภาวะหมดไฟมักแก้ปัญหาแตกต่างกันโดยกลุ่มผู้ชายเลือกคลายเครียดด้วยการเล่นเกม ออกกำลังกาย ขณะที่ผู้หญิงมักพูดคุยกับเพื่อน ใช้โซเชียลมีเดีย และการพูดคุยกับครอบครัว
คำกล่าวที่ว่า "การป้องกันดีกว่าการรักษา" นั้นเป็นเรื่องจริง เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟสามารถเริ่มต้นนำความสมดุลกลับมาสู่ชีวิต ด้วยวิธีการ เช่น
- ขอความช่วยเหลือ พูดคุย ปรึกษา ระบายความเครียดกับคนที่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง หรือครอบครัว
- พบปะสังสรรค์ มีกิจกรรมนอกเวลางานกับเพื่อนร่วมงานบ้าง งดหรือลดพบปะพูดคุยกับคนที่ทำให้รู้สึกแย่
- เข้าร่วมกลุ่มที่ช่วยให้ชีวิตรู้สึกดีและมีความหมายมากขึ้น เช่น กลุ่มศาสนา กลุ่มทางสังคม จิตอาสาต่าง ๆ ทำให้มีเพื่อนใหม่ ช่วยให้มีความสุขทางใจ ลดความเครียด
- ปรับเปลี่ยนมุมมองและค้นหาคุณค่าในงานที่ทำอยู่ รวมทั้งสร้างความสมดุลระหว่างงานและชีวิตด้านอื่น ๆ
- ผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ความเครียดในการทำงานลดลง บรรยากาศในการทำงานดีขึ้น มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำงานได้ผลดีขึ้น ผ่านช่วงเวลายากลำบากในการทำงานได้ง่ายขึ้น
- พัก ลางานไปใช้เวลาในสภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhT5UmwR6Coh1N2jsXVsbWysaIUG.jpg)
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรจัดการเมื่อเกิดภาวะหมดไฟในการทำงานคือ พัฒนาทักษะการจัดการปัญหาและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ พัฒนาทักษะการสื่อสาร เจรจาต่อรอง และยืนหยัดรักษาสิทธิของตนเอง
ช่วยเติมไฟเพื่อน เมื่อเพื่อนหมดไฟ
เมื่อเจอเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานที่มีภาวะหมดไฟ การสนับสนุนหรือให้การช่วยเหลือเชิงบวก จะช่วยให้ภาวะหมดไฟไม่ลุกลามไปจนเกิดความเสียหายต่อจิตใจเพิ่มขึ้นได้
- สังเกตว่าเพื่อนแสดงอาการหมดไฟหรือไม่ เช่น เหนื่อยล้า ไม่มีแรงจูงใจ หดหู่ เครียด ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนใจในงาน เป็นต้น
- เริ่มพูดคุยอย่างเป็นมิตรในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง แสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ
- ใช้คำถามที่ไม่กดดัน เช่น "ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง ? " หรือ "เห็นคุณดูเหนื่อย ๆ มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะ"
- ฟังอย่างตั้งใจ อย่าขัดจังหวะหรือแสดงท่าทางตัดสินเมื่อเพื่อนเปิดอกระบายความในใจออกมา
- เสนอความช่วยเหลือ เช่น แบ่งเบาภาระงาน จัดสรรเวลาที่สามารถช่วยเพื่อนได้ และไม่ทำให้ตัวเราเองเดือดร้อน
- เสนอการพักผ่อนและดูแลตัวเอง ชวนเพื่อนเที่ยว หรือทำกิจกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
- แนะนำแหล่งข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากเพื่อนต้องการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
- หมั่นตรวจสอบว่าเพื่อนยังมีอาการหมดไฟอยู่หรือไม่ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นกันเอง เพื่อให้เพื่อนรู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจและพร้อมช่วยเหลือเสมอ
อ้างอิงข้อมูล : THLA สมาคมส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพไทย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ่านข่าวอื่น :
ผู้ป่วยจิตเวชพุ่งสูง! จิตแพทย์ไม่พอเฉลี่ย 1.25 คนต่อแสนคน