วันนี้ (28 มิ.ย.2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 (สอท.4) บุกเข้าตรวจค้นที่พักลักษณะเป็นพูลวิลล่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ หลังขยายผลจากผู้ต้องหาลักลอบขายเครื่องแปลงสัญญาณในพื้นที่ จ.พัทลุง จนทราบว่ามีรายชื่อลูกค้าเป้าหมายปลายทางคือ จ.เชียงใหม่
เมื่อสืบสวนจนทราบว่า มีกลุ่มชาวจีนเปิดที่พักอาศัยทำเป็นฐานปฎิบัติการคอลเซ็นเตอร์หลอกชาวจีนโอนเงิน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นจนสามารถควบคุมตัวชาวจีนได้ 7 คน แรงงานชาวเมียนมา 6 คน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
นอกจากนี้ยังยึดของกลางเป็นกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดประเทศจีน 90 อัน, คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง, เอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน 1 ชุด, บัญชีธนาคารประเทศจีน, อุปกรณ์แปลงสัญญาณโทรศัพท์, อุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กระทำความผิดรวมกว่า 100 รายการ และสินค้าหนีภาษีจำนวนมาก
จากการซักถามผู้ต้องหา เบื้องต้นรับสารภาพว่าทำงานในลักษณะของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จริง หลอกลวงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว โดยติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายตามที่ได้รายชื่อมาจากข้อมูลผู้ที่เคยทำประกันไว้ในประเทศจีน และมีการวางแผนทำงานเป็นขั้นตอน
หากกลุ่มเป้าหมายปฎิเสธทำประกันจะให้อีกกลุ่มหนึ่งติดต่อกลับ พร้อมแจ้งว่าจะมีการหักเงินบัญชีอัตโนมัติ โดยหลอกเอาข้อมูลขื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ ให้อีกกลุ่มหนึ่งดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เบื้องต้นพบผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 20 คนในประเทศจีน เตรียมประสานทางการจีนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ตำรวจไทยจะไม่ยอมให้ใครมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งต้องประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดมาร่วมสอบสวนทางคดีด้วย
เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และอีกหลายข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
อ่านข่าว
ทลายเครือข่ายหลอก "วัยเกษียณ" ลงทุนออนไลน์ สูญ 200 ล้าน