วันนี้ (30 พ.ย.2566) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย) กล่าวถึงภาพรวมหนี้ของข้าราชการทั้งระบบว่า ข้าราชการที่อยู่ในระบบเงินกู้สหกรณ์ ขณะนี้มียอดรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคน
ครูครองแชมป์ติดหนี้มากสุด
ส่วนใหญ่อยู่กระทรวงศึกษาธิการประมาณ 800,000 คน ,กระทรวงสาธารณสุข 200,000 คน ,ตำรวจ 230,000 คน สำหรับแนวทางการแก้ไขหนี้สินของข้าราชการนั้น จะเข้าไปดูแลข้าราชการในระบบสวัสดิการและรัฐบาลจะดูแลเรื่องการหักเงินเดือนให้ทุกหน่วย
แถลงปรับลดดอกเบี้ยบัตรเครดิต 12 ธ.ค. นี้
ส่วนการแก้ไขหนี้บัตรเครดิตที่มีเก็บดอกเบี้ย 18% ต่อปี ที่นายกรัฐมนตรีระบุให้เก็บดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่เกิน 15% ต่อปี นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เรื่องบัตรเครดิตอัตราดอกเบี้ยตามข้อตกลงเดิมบวกกับเบี้ยปรับในรายการผิดชำระ ตรงนี้มีการอ้างอิงประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำได้ไม่เกินร้อยละ 3 ฉะนั้น การประชุมแก้ไขหนี้ในส่วนที่เหลือ จะมีแนวทาง ตอนนี้ขอพิจารณาให้รอบคอบเพื่อให้พร้อมที่จะเสนอนายกฯ และแถลงในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เมื่อถามย้ำว่า มีแนวโน้มที่จะเก็บดอกเบี้ยบัตรเครดิต 15% หรือไม่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ก็มีแนวโน้ม
ช่วยข้าราชการให้มีเงินเหลือ 30%
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในฐานะรองประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินฯ) กล่าวว่า จากการรับฟังปัญหาหนี้ของข้าราชการพบว่า การหักเงินเดือน และการชำระหนี้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระบบสินเชื่อสวัสดิการ ทำให้ข้าราชการมีเงินเดือนไม่ถึง 30% ดังนั้น คณะกรรมการชุดนี้จึงพิจารณาร่วมกันว่าจะทำให้ข้าราชการมีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือน สำหรับแนวทางการแก้ไขหนี้สินข้าราชการ จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สามารถให้ข้าราชการปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ขยายเวลาชำระหนี้ถึง 75 ปี
แต่ถ้าบางรายไม่สามารถทำให้เงินเหลือมากกว่า 30% ของเงินเดือนได้ จะใช้วิธีการขยายงวดชำระเงินต้นออกไปให้อายุถึง 75 ปี จะส่งผลให้เงินต้นลดลงโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ จะหาเงินกู้พิเศษจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ในอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม และหากสมมุติว่ายังเหลือเงินไม่ถึง 30% อีก ซึ่งเชื่อว่าจะเหลือแค่บางรายเท่านั้น ทั้งนี้จะนำรายละเอียดต่าง ๆ มาวิเคราะห์และแก้ไขเฉพาะราย เพื่อให้เกิดการปลดหนี้ให้มีสภาพชีวิตที่อยู่ด้วย โดยจะเดินหน้าและเกิดผลสัมฤทธิ์ในเดือน ม.ค.67 เป็นต้นไป แต่ต้องขอความร่วมมือจากกรมบัญชีกลาง และต้นสังกัดของข้าราชการ