เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2566 เกิดเหตุจลาจลในสนามบินเมืองมาคัชคาลา สาธารณรัฐดาเกสถานของรัสเซีย โดยกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์พังประตูบุกเข้าไปในสนามบิน หลังมีข่าวลือว่าเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทล อาวีฟ ของอิสราเอล ลงจอดที่สนามบินแห่งนี้
ผู้ประท้วงพากันชูธงปาเลสไตน์และบุกตรวจค้นห้องภายในสนามบิน ก่อนจะวิ่งลงไปบนรันเวย์ ขณะที่ในเวลาต่อมา สื่อรัสเซียรายงานว่า เที่ยวบินดังกล่าวแวะจอดที่สนามบินแห่งนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่กรุงมอสโก
นอกจากนี้ ผู้ประท้วงบางส่วนยังสกัดรถยนต์ที่อยู่ด้านนอกสนามบินและขอดูเอกสาร โดยสื่อในพื้นที่เชื่อว่ากลุ่มผู้ประท้วงต้องการทำร้ายผู้โดยสารชาวอิสราเอลหรือชาวยิว เนื่องจากโกรธแค้นรัฐบาลอิสราเอลที่ใช้กำลังโจมตีกาซา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สำนักงานการบินรัสเซียสั่งปิดสนามบิน และให้เครื่องบินทุกลำที่จะเดินทางไปเมืองมาคัชคาลา ย้ายไปลงจอดที่สนามบินอื่นแทน นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 10 คน ในจำนวนนี้มีตำรวจและพลเรือนรวมอยู่ด้วย รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บอาการสาหัส 2 คน
ผู้ประท้วงบุกเข้าพื้นที่สนามบินในเมืองมาคัชคาลา สาธารณรัฐดาเกสถานของรัสเซีย
ทำเนียบนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่า รัฐบาลอิสราเอลจับตาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามบินอย่างใกล้ชิด และคาดว่าเจ้าหน้าที่รัสเซียจะปกป้องพลเรือนชาวอิสราเอลและชาวยิวทั้งหมด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน รวมทั้งใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการกับผู้ก่อความไม่สงบและคนที่ยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงกับชาวอิสราเอลและชาวยิวโดยตรง
เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ที่เรียกร้องให้รัสเซียปกป้องชาวอิสราเอลและชาวยิว ในขณะที่ผู้แทนพิเศษด้านการเฝ้าระวังและรับมือกลุ่มต่อต้านชาวยิวของวุฒิสภาสหรัฐฯ โพสต์ข้อความใน X ประณามการประท้วงที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นการคุกคามชาวอิสราเอลและชาวยิว พร้อมเรียกร้องให้ทางการรัสเซียรับประกันความปลอดภัยของคนกลุ่มนี้ด้วย
ล่าสุด ทางการดาเกสถาน ประกาศว่า ประชาชนที่ไม่ได้รับอนุญาตทั้งหมดถูกนำตัวออกนอกสนามบินแล้ว แต่ทางสนามบินจะยังคงปิดทำการต่อไป คาดว่าจะเปิดให้บริการได้อีกครั้งในวันที่ 6 พ.ย.นี้ ขณะที่รัฐบาลดาเกสถานจัดการประชุมฉุกเฉิน ส่วนผู้ว่าการสาธารณรัฐดาเกสถานให้คำมั่นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ
กองทัพอิสราเอลรุกคืบเข้ากาซา
ด้านอิสราเอลยกระดับการโจมตีทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินในกาซา โดยมีรายงานว่าทหารอิสราเอลรุกคืบเข้าไปในกาซา เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ในขณะที่วิกฤตด้านมนุษยธรรมยังน่ากังวล หลังมีรายงานว่าชาวปาเลสไตน์หลายพันคนบุกเข้าไปในคลังขององค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อหยิบของใช้ที่จำเป็น เช่น แป้งสาลี
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในกาซาขณะนี้มาถึงจุดที่รับไม่ไหวแล้ว ความสงบเรียบร้อยในกาซาเริ่มพังทลาย ผู้คนต่างหวาดกลัว ท้อแท้และสิ้นหวัง ในขณะที่หน่วยงานของยูเอ็นถูกบีบให้ลดปฏิบัติการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมลง เนื่องจากไม่มีเชื้อเพลิงที่จะส่งให้กับศูนย์การแพทย์ต่างๆ ได้
ภาพรวมของความสูญเสียในฝั่งกาซา พบว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก ขณะที่ฝั่งอิสราเอล ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1,400 คน
ด้านโฆษกกองทัพอิสราเอล ย้ำให้ประชาชนในกาซาอพยพจากตอนเหนือลงมาทางใต้ รวมถึงสั่งให้อพยพประชาชนออกจากโรงพยาบาลอัล-คุดส์ แต่ผู้แทนจากสภาเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์ ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะอพยพคนไข้ออกจากโรงพยาบาล ซึ่งมีทั้งผู้ป่วยแผนกอาการวิกฤตและเด็กทารกที่อยู่ในตู้อบ ซึ่งการอพยพคนเหล่านี้เท่ากับเป็นการสังหารพวกเขา