เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2566 สมาชิกรัฐสภาอิหร่านมีมติ 152 ต่อ 34 เสียง อนุมัติผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดเพิ่มโทษการจำคุกและการจ่ายค่าปรับ สำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ฝ่าฝืนกฎการแต่งกาย
ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ เกี่ยวกับการแต่งกายของอิหร่าน ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงวัยแรกรุ่นจะต้องสวมผ้าคลุมศีรษะ หรือ ฮิญาบ และสวมเสื้อผ้าที่ยาวและหลวมเพื่ออำพรางรูปร่างของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันหญิงที่ฝ่าฝืนข้อกฎหมายนี้อาจต้องรับโทษจำคุก 10 วันถึง 2 เดือน หรือปรับระหว่าง 5,000-500,000 เรียล หรือไม่เกิน 430 บาท
ขณะที่ร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งระบุว่าเป็นการลงโทษระดับที่ 4 กำหนดให้ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจต้องถูกจำคุก 5-10 ปี และปรับระหว่าง 180-360 ล้านเรียล หรือประมาณ 154,000-308,000 บาท
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังกำหนดค่าปรับสำหรับผู้ที่ส่งเสริมการแต่งกายไม่เหมาะสม หรือล้อเลียนการสวมใส่ผ้าคลุมศีรษะในสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งสำหรับเจ้าของยานพาหนะที่มีผู้หญิงไม่สวมฮิญาบ หรือแต่งกายไม่เหมาะสมเป็นคนขับขี่หรือโดยสารมาด้วย และหากใครส่งเสริมการละเมิดร่างกฎหมายนี้อย่างเป็นระบบมีแบบแผน หรือร่วมมือกับรัฐบาล หรือองค์กรต่างชาติหรือที่เป็นศัตรู อาจถูกลงโทษจำคุกตามข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากสภาผู้พิทักษ์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักบวชและนักกฎหมายสายอนุรักษ์นิยมก่อน จากนั้นจึงจะถูกบัญญัติเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้จริง
เหตุการณ์วันที่ 19 พ.ย.65 ผู้ประท้วงในนิวยอร์กเรียกร้องให้ UN ต่อต้านการปฏิบัติต่อสตรีในอิหร่าน หลังการเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้น 1 ปี หลังการเสียชีวิตของ "มาห์ซา อามินี" หญิงชาวเคิร์ด วัย 22 ปี หลังจากถูกตำรวจศีลธรรมอิหร่านจับกุมในข้อหาสวมผ้าคลุมศีรษะไม่เหมาะสม เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2022 กรณีนี้ส่งผลให้การประท้วงปะทุขึ้นทั่วโลก ผู้คนรวมตัวและเผาผ้าคลุมศีรษะเพื่อแสดงความไม่พอใจและต่อต้านสถาบันทางศาสนา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนจากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้หลังเกิดกรณีดังกล่าว จำนวนผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่เลิกใส่ผ้าคลุมศีรษะในที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าตำรวจศีลธรรมจะกลับมาประจำการตามท้องถนนและมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดก็ตาม
ขณะที่ต้นเดือน ก.ย.2023 ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกลุ่มหนึ่ง เตือนว่าร่างกฎหมายนี้อาจถูกจัดว่าเป็นรูปแบบการแบ่งแยกทางเพศอย่างหนึ่ง เนื่องจากทางการดูเหมือนจะปกครองโดยเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ และมีจุดประสงค์ที่จะกำราบผู้หญิงและเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ ขณะที่บางคนมองว่าร่างกฎหมายนี้อาจนำไปสู่การบังคับใช้อย่างรุนแรงและยังละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรม
อ่านข่าวอื่นๆ
"สหรัฐฯ-อิหร่าน" บรรลุข้อตกลงแลกตัวนักโทษ 10 คนเป็นอิสระ
ถูกฉาบด้วยสีดอกเลา "ญี่ปุ่น" ขึ้นแท่นแชมป์ผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก
ประท้วงหนัก! อินเดียขับทูตแคนาดา ตอบโต้ถูกกล่าวหาเอี่ยวสังหารผู้นำซิกข์