วันนี้ (28 ส.ค.2566) นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 และคาดว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก
โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานได้คลี่คลายลง ประกอบกับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการและสูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 7.6 และ 5.2
การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน จะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในช่วงก่อนสิ้นเดือน ท่ามกลางข่าวปรับ VAT
โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ฐานะการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่มั่นคงและเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีกองทุนผู้สูงอายุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และสนับสนุนผู้สูงอายุ
รวมถึงมีการเก็บเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและยาสูบในอัตราร้อยละ 2 โดยปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เพื่อนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม
สำหรับข้อเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำมาใช้เป็นเงินออมในวัยเกษียณให้แก่ประชาชน เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง
ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ตลอดจนพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดว่า การกันเงินรายได้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนําไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือถึงความเป็นไปได้
ในการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลัง ได้ส่งเสริมและปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของแรงงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อเพิ่มเพดานเงินสะสมของสมาชิกและเพิ่มเพดานเงินสมทบจากรัฐให้แก่สมาชิก ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบที่ออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้มีเงินออมใช้หลังเกษียณเพิ่มขึ้นแล้ว
การเสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ....เพื่อให้แรงงานในระบบมีเงินออมเพิ่มขึ้น รวมถึงการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยมีทักษะทางการเงินและความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้นด้วย
อ่านข่าว