วันนี้ (18 ส.ค.2566) ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Prinya Thaewanarumitkul ถึงกรณีมติศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา ไม่รับคำร้องกรณีรัฐสภามีมติตีความว่า การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญเป็น “ญัตติ” ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา จึงเสนอชื่อเดิมซ้ำไม่ได้ โดยให้เหตุผลที่ไม่รับคำร้องว่า ผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง โดยระบุข้อความว่า
การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องเรื่องนี้ไว้พิจารณา มีปัญหาในทางกฎหมายดังต่อไปนี้
1.ผู้ยื่นคำร้อง หรือผู้ร้องในกรณีนี้คือผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจในการไม่รับคำร้องจากผู้ตรวจการแผ่นดินไว้พิจารณา แต่ก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 46 วรรคสาม คือ คำร้องนั้น “ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย”
อ่านข่าว : ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องเสนอชื่อ "พิธา" โหวตนายกฯซ้ำ
แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้อ้างเหตุนี้ในการไม่รับคำร้อง เพราะคำร้องนี้มีสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย แต่ปัญหาคือการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่อ้างเหตุนี้แต่ไปอ้างเหตุอื่นคือ ผู้ร้องเรียน (คือคนที่ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน) ไม่มีสิทธิร้อง จึงไม่ใช่เหตุผลที่ชอบด้วยมาตรา 46 วรรคสาม เพราะการที่จะไม่รับคำร้องต้องเป็นเรื่องคำร้องไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย เท่านั้น
2.แม้ว่ามาตรา 46 จะบัญญัติว่าบุคคลที่จะร้องศาลรัฐธรรมนูญได้ว่าถูกกระทำการที่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ โดยต้องร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น จะต้องเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ตรวจการแผ่นดินในการพิจารณา ไม่ใช่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ที่เป็นต้นทางของ พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 นี้ ไม่มีคำว่าโดยตรง
โดยบัญญัติไว้แต่เพียงว่า “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคำร้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีเพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพประชาชน การตีความรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงต้องตีความในทางปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ใช่ตรงกันข้ามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายอื่นใดเขียนไม่ตรงกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ก็ต้องเอารัฐธรรมนูญเป็นหลัก ซึ่งมาตรา 213 ผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพไม่ต้อง “โดยตรง” คือไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นผู้เสียหายได้
3.ทั้งนี้ถ้าเอาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลไว้เช่นนี้ ตอนนี้ก็มีแต่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เท่านั้นที่จะไปร้องเรียนได้ แต่เท่าที่ติดตามข่าวทราบว่า นายพิธาและพรรคก้าวไกลจะไม่ร้องเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่าเป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะทบทวนมตินี้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งเรื่องนี้ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เรื่องเสนอชื่อพิธาซ้ำไม่ได้ดังที่พาดหัวกันในสื่อหลายสำนัก
แต่เป็นเรื่องการที่รัฐสภามีมติให้ข้อบังคับการประชุมของตนเองใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่กว่า และรัฐสภาก็สามารถที่จะทบทวนมตินี้เองได้ แล้วก็ควรต้องทบทวนด้วย
ดร.ปริญญา ยังระบุว่า ความจริงแล้วยังจะมี “ผู้เสียหายโดยตรง” อีกคือว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย หากว่า (สมมติว่า) นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค.นี้ แล้วมตินี้ยังอยู่ (คือรัฐสภายังไม่เลิกมตินี้) นายเศรษฐาก็จะถูกเสนอชื่อซ้ำอีกไม่ได้เช่นกัน นายเศรษฐา (หรือคนต่อไปคือคุณแพรทองธาร) ก็จะเป็นผู้เสียหายโดยตรงและสามารถที่จะไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินได้ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธไม่รับคำร้องโดยเหตุผลว่าผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรงไม่ได้แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"รัฐสภา" เคาะไทม์ไลน์โหวตนายกฯ รอบ 3 เริ่ม 10 โมง 22 ส.ค.นี้
ศาลขยายเวลา 30 วัน ให้ "พิธา-ก้าวไกล" ยื่นคำชี้แจงคดีล้มล้างการปกครอง