วันที่ 6 มิ.ย.2566 อธิบดีกรมสรรพสามิต สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตคนหนึ่งโทรศัพท์ เจรจา ไม่ให้ตำรวจดำเนินคดีรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน หากพบว่ามีมูลความผิดจริงจะให้พัก หรือออกจากราชการทันทีขณะที่รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง สั่งเร่งสืบสวนขยายผลกลุ่มที่พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องดังกล่าว
จากกรณีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับนายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษมขาเข้า ต.กาะหลัก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 15,000 ลิตร เป็นของกลางในคดี
และมีการรายงานว่า ภายหลังการจับนายสมบัติ ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตคนหนึ่ง โทรศัพท์มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดี กับนายสมบัติ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับไม่ยินยอม
ล่าสุดนายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่เคารพต่อกฎหมาย จึงได้สั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน
และการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ผู้โทรศัพท์มาขอเจรจาเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตจริงหรือไม่ และตรวจสอบว่าน้ำมันปริมาณดังกล่าว เป็นน้ำมันเถื่อน หรือน้ำมันที่ขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง กรมสรรพสามิตจะดำเนินการต่อบุคคลที่กระทำความผิดตามระเบียบ และกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้นทันที
ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ รักษาราชการแทนผู้บังคับการ ตำรวจทางหลวง สั่งให้เร่งสืบสวนขยายผลเอาผิดกับกลุ่มที่พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องดังกล่าว เพราะถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และ ไม่เคารพต่อกฎหมาย
อ่านข่าวอื่นๆ :