หลายคนสงสัยว่า “รางวัลออสการ์” ในแต่ละปี มีการตัดสินอย่างไร ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์ สิทธิชัย แก้วจินดา นักวิจารณ์ภาพยนตร์ อธิบายว่า
Academy Award หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ออสการ์” (Oscars) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และปีนี้ก็ได้ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงมาแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า เขาเลือกรายชื่อผู้เข้าชิงกันอย่างไร
อธิบายให้ง่ายที่สุดคือ เขามีคณะกรรมการออสการ์ที่ส่งรายชื่อเพื่อเสนอให้เข้าชิง
รางวัลออสการ์นั้นแตกต่างจากรางวัลอื่น ๆ ตรงที่เป็นรางวัลมหาชน เพราะเกณฑ์การตัดสินเบื้องต้น ในการเสนอชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลออสการ์มีเกณฑ์หลักหลักดังนี้
- ต้องเป็นหนังที่มีความยาวไม่ต่ำกว่า 40 นาที
- จะต้องได้รับการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในช่วงระหว่างปีปฏิทินนั้น ๆ
- หนังเรื่องนั้นต้องอยู่ใน Format 35 mm หรือ 70 mm หรือ Digital Format ที่มีเฟรมเรต 24 เฟรม
- ต้องเข้าฉายเก็บค่าเข้าชมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน
สำหรับผู้อำนวยการสร้างหรือผู้จัดจำหน่าย หากต้องการให้หนังของตนเองได้รับการพิจารณา โดยเฉพาะหนังที่เข้าฉายในช่วงต้นปี ทางคณะกรรมการเขาก็จะมีแบบฟอร์ม ที่จะให้เสนอชื่อเข้าชิง แล้วก็จะรวบรวมในช่วงเดือนมกราคม จากนั้นก็ส่งไปยังสมาชิกทุกคน
สิทธิชัย กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกาแรงงานต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้สังกัดสภาพแรงงาน สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ก็จะมีสหภาพแรงงานประจำเช่น สหภาพผู้กำกับ สหภาพผู้อำนวยการสร้าง สหภาพนักแสดง สหภาพนักเขียนบท
ผู้มีสิทธิ์เป็นกรรมการออสการ์นั้นจะต้องสังกัดสหภาพเหล่านี้ ซึ่งจะขึ้นทะเบียนกับ “สมาคมศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์สหรัฐอเมริกา” (Academy of Motion Pictures and Sciences: AMPAS) นอกจากนี้ก็จะยังมีสมาชิกที่เป็นสมาคมต่าง ๆ อีกมาก
ปัจจุบันกรรมการออสการ์รวมกันทั้งสิ้นประมาณ 7,000 คน คนเหล่านี้ก็จะมีสิทธิ์เสนอชื่อ สาขาที่ตนเองสังกัด เช่น ผู้กำกับการแสดง ก็สามารถเสนอชื่อผู้กำกับยอดเยี่ยม และเสนอชื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงก็จะสามารถเสนอชื่อนักแสดงสาขาต่าง ๆ รวมไปถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นั่นหมายความว่า กรรมการ 1 คนจะสามารถเสนอชื่อได้ 2 Categories นั่นก็คือที่ตนเองสังกัดอาจจะเป็นเขียนบท หรือนักแสดง และในขณะเดียวกันก็มีสิทธิ์เสนอชื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกรางวัล
ส่วนสาขารางวัลที่มีความพิเศษแตกต่าง เช่น Animation ภาพยนตร์สารคดีภาพยนตร์สั้นนั้น จะมีคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาพิจารณารายชื่ออีกชุดหนึ่ง
เช่นเดียวกันในการให้คะแนน ผู้ที่สังกัดสาขาที่ตนเองประกอบอาชีพอยู่ ก็จะสามารถเสนอผู้ที่สมควรได้รับรางวัลสำหรับสาขานั้น และภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกสาขาหนึ่ง อาจจะมีแตกต่างอยู่บ้าง ตรงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สมาชิกต้อง Ranking คะแนน จากนั้นนำคะแนนมาหาค่าสัมประสิทธิ์ เพื่อพิจารณาคัดเลือกภาพยนตร์ที่จะได้รับรางวัลยอดเยี่ยมต่อไป
ด้วยเหตุนี้ถึงบอกว่า รางวัลออสการ์คือรางวัลมหาชน เพราะเป็นการลงคะแนนในหมู่สมาชิกซึ่งมีอยู่แล้วราว 7,000 คน อย่างที่บอกไป อาจจะแตกต่างจากรางวัลอื่น ๆ เช่นรางวัลหนังเมืองคานส์ รางวัลจากเทศกาลหนังอื่น ๆ ที่จะมีคณะกรรมการชัดเจนในการทำหน้าที่ลงคะแนน และมอบรางวัลให้กับผู้ที่เหมาะสม
ในแต่ละปีของออสการ์ เราจะเห็นว่า การเสนอชื่อผู้ที่เข้าชิงรางวัลต่าง ๆ โดยเฉพาะหนังยอดเยี่ยม มักจะมีหนังตลาดหลุดเข้ามา ปีนี้ก็มี GET OUT ก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันคือรางวัลมหาชนดังที่บอกออกไป หนังดัง หนังคนดูเยอะก็ย่อมมีกรรมการได้ดูมากกว่าหนังไม่ดัง
สิทธิชัยกล่าวต่อว่า ส่วนการลงคะแนนไม่ได้จำกัดว่า กรรมการทุกคนจะต้องดูหนังทุกเรื่องที่มีชื่อเข้าชิง เขาอาจจะไม่ได้ดูเลยก็ได้ แต่เขามีสิทธิ์ลงคะแนน จึงไม่แปลกที่หนังที่ได้รับรางวัลมักจะเป็นหนังที่มีกระแสดี
เราจะเห็นหนังที่ตั้งใจจะเอารางวัล มักจะออกฉายในช่วงประมาณตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่หนังใหญ่เข้าน้อย ในขณะเดียวกันก็ไม่ห่างจากช่วงระยะเวลาในการเสนอชื่อเข้าชิง ยังอยู่ในช่วงที่สามารถปั่นกระแสได้
แต่ละปีเราจะอาจได้ยินข่าวการล็อบบี้ ซึ่งมีความจำเป็นกับงานที่กรรมการเยอะขนาดนี้ โดยเฉพาะกับหนังเล็ก ๆ หนังนอกกระแสที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ การล็อบบี้ก็ทำได้หลากหลายรูปแบบ สมัยก่อนที่เป็นม้วนวีดีโอ ทางผู้สร้างก็จะจัดส่งวีดีโอไปให้กับกรรมการถึงบ้านเลย แต่ก็จะมีการทำลายน้ำ หรือไม่ก็ลดสี ลดความละเอียดของภาพลงไป ถึงทุกวันนี้ก็ส่งเป็น Link ให้กรรมการได้ดูกัน
แน่นอนครับว่า การแจกรางวัลทุกสถาบัน มันไม่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว มีแต่ความเหมาะสมสำหรับรางวัลนั้น ๆ
สิทธิชัยกล่าวว่า สำหรับออสการ์เองก็มีเสียงกังขามาค่อนข้างมาก ว่าด้วยปริมาณผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนจำนวนมากมหาศาลขนาดนี้ กรรมการจะดูหนังหรือไม่ก็ไม่สามารถเจาะลึกได้ เคยมีการหารายละเอียดว่า กรรมการออสการ์มากกว่าครึ่ง บางคนไม่ได้มีผลงานในวงการหนังมากกว่า 10 ปี ก็ยังมี แต่ก็ยังมีสิทธิ์ลงคะแนน
รวมไปถึงสัดส่วนของกรรมการส่วนใหญ่ก็จะเป็นผิวขาวมากกว่าผิวดำ อัตราส่วนของกรรมการผู้ชายก็มากกว่าผู้หญิง จนเมื่อประมาณปี 2 ปีที่แล้ว ทาง Oscars ก็ประกาศว่า จะเพิ่มสัดส่วนกรรมการที่เป็นผู้หญิง กรรมการผิวดำ ให้มีปริมาณมากขึ้นเกินครึ่ง
ส่วนเกณฑ์การรับสมัครสมาชิกเพื่อจะสามารถลงคะแนนได้นั้นอันดับแรกเลยคุณจะต้องอยู่ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีผลงานในรอบ 2 ปี มีการเสนอชื่อโดยสมาชิกเดิมจำนวน 2 รายเพื่อรับรองคุณสมบัติ
อย่างที่บอกนะครับไม่มีรางวัลใดที่ จะสร้างความพอใจให้กับทุกคนได้ มันมีแต่ว่ารางวัลนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงไร