นายอนุทินกับนายชูวิทย์ ถือเป็นมวยถูกคู่ เพราะระดับอาวุโสและความเก๋าเกมพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แม้นายชูวิทย์จะอายุมากกว่า เข้าสู่วงการการเมืองก่อน แต่ความช่ำชองยกระดับตนเองบนถนนการเมืองของนายอนุทินก็ไม่ธรรมดา จัดได้ว่าไปได้ไกลกว่านายชูวิทย์
แม้นายชูวิทย์จะมีลีลาบ้าดีเดือด กล้าชนกับทุกคนไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่นายอนุทิน ก็มีความนิ่ง สุขุม และภาพลักษณ์ดี เป็นตัวช่วย อย่างไรก็ตาม บนเวทีปราศรัยทางการเมือง บ่อยครั้งก็ดุเดือดไม่ธรรมดาเช่นกัน
ความจริงทั้งคู่รู้จักมักคุ้นกันมานาน มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก คอยเอื้ออาทรกันมาดังที่นายอนุทินให้สัมภาษณ์ไว้ แต่ข้อบาดหมางก็เกิดขึ้นจนได้ หลังจาก “เฮียชู” เปิดปฏิบัติการถล่มโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่เขาหอบหลักฐานส่อว่าจะมีทุจริต และมีเงินทอนมากถึง 3 หมื่นล้านบาท ส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบที่ทำเนียบ
พร้อมตั้งโต๊ะแถลงโดยมีอุปกรณ์ครบครันตามสไตล์ของนายชูวิทย์ ก่อนที่ 2 วันถัดมา มีปฏิบัติการบุกไปถึงกระทรวงคมนาคม ส่งมอบน้ำยาบ้วนปากให้ รมว.คมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ด้วย
ก่อนที่กระทรวงคมนาคม จะทำหนังสือแจ้งกลับไปยังนายชูวิทย์ขอให้ส่งหลักฐานต่าง ๆ ตามที่เขากล่าวหาไปให้ภายใน 15 วันนับจากได้รับหนังสือ แต่นายชูวิทย์ปฏิเสธ อ้างกลับว่า คมนาคมเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง แล้วจะส่งเอกสารหลักฐานการกล่าวหาให้ได้อย่างไร
ไม่เพียงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเท่านั้น นายชูวิทย์ยังถล่มใส่เรื่องกัญชาอีกหนึ่งเรื่องเต็ม ๆ สำหรับพรรคภูมิใจไทย เป้าหมายสำคัญคือผลักดันกัญชาเพื่อหวังคะแนนนิยมเท่านั้น
และเพราะเรื่องกัญชานี่เอง ที่ทำให้นายชูวิทย์ยิ่งเดือดและนำไปขยายผลต่อ เมื่อเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์ไทยและการแพทย์ทางเลือก ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข บุกตรวจบาร์กัญชา ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมเดอะเดวิส ของนายชูวิทย์ ทำให้เจ้าของ “ควันออกหู” แถลงไลฟ์สด ระบุโดนกลั่นแกล้ง และเดือดดาลถึงขั้นถุยน้ำลายใส่ภาพหน้าแกนนำและผู้ที่เกี่ยวข้องในพรรค
นอกจากนี้ ยังประกาศจะไล่ทุบพรรคภูมิใจไทยไปจนถึงวันเลือกตั้ง และพร้อมจะเผารังหนู นำไปสู่การออกมาตอบโต้ของนายอนุทิน ที่ปฏิเสธหลายเรื่อง รวมทั้งข้ออ้างที่ว่า นายอนุทินเคยเสนอเงินให้ 50 ล้านบาท เพื่อให้นายชูวิทย์ช่วยหาเสียงให้พรรคภูมิใจไทย ในกรุงเพฯ แต่เนื่องจากมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นแม่ทัพใหญ่ในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว
พร้อมประกาศตัดความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่มีมา 10 ปี ลงเพียงเท่านี้ แต่เพียงแค่นี้ ยืนยันปฏิเสธหลายเรื่อง รวมทั้งข้ออ้างว่า นายอนุทินเคยเสนอให้เงิน 50 ล้านบาท เพื่อให้นายชูวิทย์ช่วยหาเสียงให้พรรคภูมิใจไทยในกรุงเพฯ เพราะมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว
นอกจากนายอนุทิน ยืนกรานไม่ให้ราคานายชูวิทย์แล้ว ยังโต้กลับ ยืนยันว่า รู้หมดว่าใครอยู่เบื้องหลังนายชูวิทย์ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อย พยายามต่อจิ๊กซอว์ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อีกด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อมูลข้อกล่าวทั้งหลายของชูวิทย์ ถูกส่งไปถึงมือนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดทนายกฯ จากบัญชีพรรครวมไทยสร้างชาติ
นอกจากนี้ ยังมีต่อโยงเรื่องไปถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นคนไปรับหนังสือจากนายชูวิทย์ ก่อนจะมีปฏิบัติการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของนายชูวิทย์
ยังไม่นับเรื่องนายชูวิทย์ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งที่ทำเนียบฯ ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปทำอะไรได้ง่ายๆ ทั้งยังปรากฏภาพ นายหิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารเสธ.พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ ในอดีต ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเดินนำพานายชูวิทย์ไปพบนายพีระพันธ์ ก่อนจะพากันไปพูดคุยกันต่อ
ส่อเค้าชัดเจนว่า น่าจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของ นายชูวิทย์ครั้งนี้ เพราะด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการแสดงออกถึงการเป็นผู้นำตัวจริงในกลุ่มพรรคการเมืองสายอนุรักษ์นิยมในขั้วรัฐบาลปัจจุบัน
ไม่ว่าข้อสังเกตดังกล่าว จะมีข้อเท็จจริงอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคภูมิใจไทยโดนไปหลายดอก ย่อมจะมีผลต่อสนามเลือกตั้ง ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงต่างจังหวัดด้วย
เพราะข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง คือช่วงหลังๆ มานี้ นับตั้งแต่การออกโรงแฉเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทา นายชูวิทย์ถือเป็นฮีโร่ในความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อย สำหรับความกล้าหาญบ้าบิ่น เปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
ผลที่จะตามมาจึงไม่น่าจะยากเกินกว่าจะคาดการณ์