การคลายมาตรการนี้คือการยกเลิกกฎบังคับกักตัว สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ หลังจากทางการจีนละทิ้งการบังคับใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับเปลี่ยนมาตรการเข้าประเทศให้เอื้อต่อการเดินทางมากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เป็นข่าวดีสวนทางกับสถานการณ์ที่น่าวิตกภายในประเทศ
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2565 บุคลากรสาธารณสุขชาวต่างชาติที่ทำงานในสถานพยาบาลจีน ระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีนขณะนี้ อยู่ในขั้นที่มีผู้ป่วยล้นมือ เต็มล้นในทุกแผนกของโรงพยาบาล เช่น ในปักกิ่ง แพทย์วิตกว่าผู้ป่วยอาจจะถูกปฏิเสธการรักษา เพราะเตียงและทรัพยากรไม่เพียงพอ
ล่าสุดหลายโรงพยาบาลต้องขยายการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มด้วย เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น ยกตัวอย่างในปักกิ่ง มีโรงพยาบาลมากกว่า 170 แห่ง ที่ให้บริการวินิจฉัยโรคทางออนไลน์ และมีผู้ป่วยเข้ารับคำปรึกษาออนไลน์มากกว่า 32,000 คน ใน 20 วันแรกของเดือนธันวาคมนี้ ส่วนโรงพยาบาลเด็กปักกิ่ง เปิดห้องให้บริการปรึกษาออนไลน์แบบคลาวด์ หลังจากมีพ่อแม่ผู้ปกครองไปใช้บริการที่โรงพยาบาลอย่างแน่นขนัด
อีกด้านหนึ่ง ทางการจีนประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำนักข่าว China Briefing รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนจะไม่ต้องเข้ารับการกักตัว ตามมาตรการของทางการจีนอีกต่อไปแล้ว จากปัจจุบันที่ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีน จะต้องกักตัวที่สถานกักโรคที่รัฐบาลกำหนดเป็นเวลา 5 วัน แล้วจึงแยกกักตัวที่บ้านอีก 3 วัน แม้ว่าทางการจีนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิ-19 ในประเทศตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนก็ตาม
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 ทั้งกฎการกักตัวและการจำกัดจำนวนผู้โดยสารบนเที่ยวบินระหว่างประเทศ จะถูกยกเลิก แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีน ระบุว่าผู้ที่เดินทางเข้าจีนจะยังต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี PCR ภายในเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เพียงแต่ไม่ต้องยื่นผลการตรวจล่วงหน้าไปยังสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลจีนในประเทศต้นทางเพื่อขอรับรหัสอีกต่อไปแล้ว และสามารถแสดงผลตรวจก่อนขึ้นเครื่องบินได้
ขณะที่การเดินทางเข้าจีนของชาวต่างชาติ เพื่อการทำงานและธุรกิจต่างๆ จะมีการปรับปรุงเพื่ออำนวยความสะดวก เช่น การออกวีซา
โดยทางการจีนบังคับใช้กฎการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาตั้งแต่ เดือนมี.ค.2563 เริ่มแรกกำหนดให้ต้องกักตัวยาวนานถึง 3 สัปดาห์ และลดหลั่นลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีการปรับกฎให้ลดเวลาการกักตัวในสถานที่ที่รัฐกำหนดลงเหลือ 1 สัปดาห์ กระทั่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ก็ได้ปรับลดลงจนเหลือ 5 วัน
แต่สำหรับการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ผ่านด่านทางบกและทางทะเลจะทยอยเปิด ส่วนการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อท่องเที่ยวของชาวจีน ทางการระบุว่าจะดำเนินการเปิดอย่างเป็นระบบระเบียบต่อไป โดยประเมินทั้งความพร้อมของบริการต่างๆ ในประเทศ และดูสถานการณ์การระบาดในต่างประเทศควบคู่กันไป
ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นอีกขั้นของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของทางการจีน สืบเนื่องจากการคลายกฎต่างๆ ในประเทศก่อนหน้านี้ และเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศลดระดับการจัดการโรคโควิด-19 จากเดิมที่เป็นโรคติดเชื้อประเภท B แต่ใช้การจัดการควบคุมโรคในระดับเดียวกับโรคติดเชื้อประเภท A เช่น กาฬโรคหรืออหิวาตกโรค ซึ่งให้อำนาจหน่วยงานท้องถิ่นต่างๆ ในการสั่งปิดพื้นที่อย่างที่ได้เห็นการดำเนินการมาตลอด 2 ปีกว่า
แต่ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 จีนจะหันไปใช้การจัดการโรคติดเชื้อแบบประเภท B เท่าเทียมกับโรคที่รุนแรงน้อยกว่าอย่างไข้เลือดออก
นอกจากนี้ ทางการจีนจะปรับเปลี่ยนคำเรียกโรคโควิด-19 ว่าเป็นโรคติดเชื้อ แทนเดิมที่เรียกว่าโรคปอดอักเสบ โดยระบุว่าเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันและระดับความรุนแรงของโรค
หลังจากที่สายพันธุ์โอมิครอนที่รุนแรงน้อยลง กลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเป็นหลัก และมีผู้ติดเชื้อจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่อาการรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ
นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งของแถลงการณ์จากคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีนเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.
ขณะที่ทางการจีนยังคงเดินหน้าเร่งผลักดันผู้สูงอายุให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ยังมีหลายคนที่วิตกกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงและยังรู้สึกลังเลไม่กล้าฉีด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินข่าวอย่างการเป็นไข้ หรือมีลิ่มเลือด หลังฉีดวัคซีน รวมทั้งบางคนยังตั้งคำถามว่า ไวรัสกลายพันธุ์เรื่อยๆ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า วัคซีนที่ฉีดจะใช้ได้ผล
ที่มา : China Briefing