วันนี้ (26 พ.ย.2565) พรรคก้าวไกลแถลงเปิดนโยบาย "ต้องก้าวไกล ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า ทั้ง 12 นโยบาย" นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า
นายธนาธร ได้กล่าวย้ำถึงความตระหนักของการทำงานระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ทำงานร่วมกัน โดยพรรคก้าวไกล อาสาทำ พ.ร.บ.น้ำประปาดื่มได้ ในสภาฯ ชุดหน้า ขอประชาชนสนับสนุนพรรคกก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นายพิธา ตั้งความหวังที่จะทำให้ท้องถิ่นทันสมัย มีเสน่ห์และมีประสิทธิภาพ ทำงานตอบโจทย์ประชาชน โดยพรรคมีนโยบาย "บ้านนโยบายพรรคก้าวไกล" ทีมี 9 เสา ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ ชี้ว่าจำเป็นต้องมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น จาก กทม. เปรียบเป็นพื้นที่ โตเดี่ยว ต่างจากจังหวัดอื่นๆ
โดยเฉพาะงบประมาณและการตัดสินใจอยู่ที่ผู้มีอำนาจใน กทม. ซึ่งทำให้ปัญหาที่เกิดในชั่วขณะหรือชั่วคราวกลายเป็นปัญหาที่ได้รับการแก้ไขล่าช้า เพราะไม่ได้แก้จากคนที่ใกล้ชิดในพื้นที่
นายพิธา ยังยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีการกระจายอำนาจ คือ ศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่เติบโต-ลดความเหลื่อมล้ำ - ลดโอกาสการคอร์รัปชัน และบริการสาธารณะรวดเร็วถูกดีขึ้น
ซึ่งโรดแมป "จังหวัดก้าวหน้า" ของพรรคก้าวไกล มี 3 ระยะ 100 วัน - 1 ปี และ 1 เทอม หรือ 4 ปีของรัฐบาล โดย 100 วันแรกจะยกเลิกคำสั่ง คสช. ปลดล็อก ปลดแอกท้องถิ่น จากนั้นใน 1 ปีแรกจะทำประชามติถามประชาชนว่าต้องการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นหรือไม่ และในช่วง 4 ปีรัฐบาลจะเติมงบประมาณให้ท้องถิ่น 2 แสนล้านบาท
นอกจากนี้นโยบายด้านท้องถิ่นที่พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าได้นำเสนอ เป็นโครงการที่ดำเนินการและมีผลสำเร็จปรากฏ เช่น โครงการน้ำประปาดื่มได้ ยกโมเดลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เป็นต้นแบบ
สำหรับการแถลงเปิดนโยบายของพรรคก้าวไกล ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วโดยครั้งแรกเป็นนโยบายด้านการเมือง ส่วนครั้งที่สองเป็นนโยบายสวัสดิการของประชาชน
"พิธา" รับปาก "ปิยบุตร" เดินหน้าผลักดันแก้ ม.112
นายพิธา กล่าวถึงคำถามของนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ที่ถามถึงเรื่องการผลักดันของพรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยนายพิธา ยืนยันว่ายังคงผลักดันการแก้ไขมาตรา 112 เนื่องด้วยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีการหยิบกฎหมายมาใช้ทำลายคนเห็นต่างทางการเมืองกับรัฐบาล ล่าสุดมี 19 คนที่พรรคก้าวไกลเข้าไปใช้สิทธิ์ ส.ส.ประกันตัว ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ยังมีการปิดกั้นในการยื่นแก้ไขมาตรา 112
โดยหลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะสามารถผลักดันในสภาได้อย่างไรบ้าง หากไม่ได้ในสภาชุดหน้าก็จะต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมา ไปทำเรื่องผลักดันสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ย้ำว่าจะยังคงผลักดันต่อเนื่องทั้งการผลักดันในสภารวมถึงทำเป็นนโยบายหาเสียง โดยจะทำตามบริบทของสถานการณ์ เนื่องจากเป็นประเด็นละเอียดอ่อนต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ซึ่งในสภาเหมาะสมมากที่สุด